ขอรับฟังประสบการณ์ของผู้ที่เคยกู้ซื้อบ้านแบบเต็มความสามารถครับ
เช่นว่าต้องผ่อน 35-40% ของรายได้น่ะครับ จะผ่อน 20 หรือ 30 ปีก็ได้ครับ
(ยกตัวอย่าง สมมติว่ารายได้ 20000 กู้ไปหนึ่งล้านบาท ผ่อนต่อเดือน 7-8พันบาท)
อยากรู้ว่ายังสามารถใช้ชีวิตแบบอิสระได้ไหม? หรือเหนื่อยแทบตายเพื่อหาเงินมาใช้หนี้? และ ประสบการณ์อื่นๆ ครับ
ขอบคุณครับ
บ้านหลังนี้เคยกู้เต็ม ผ่อนช่วงแรกแทบอ้วก จนไม่กล้ามีลูกเลยเชียวค่ะ
รู้จักคำว่า "จับเสือมือเปล่า" ก็คราวนี้ นี่ขนาดบริษัทช่วย 5% ก็ยังรู้สึกว่าเหนื่อย เพราะเวลาเห็นยอดเงินกู้มันลดลงระดับขีด ยิ่งเหนื่อยไปใหญ่ แต่หลังจาก 5 ปีผ่านมาก็หายเหนื่อยค่ะ แต่ก็มีเพื่อนที่เดินมาทางเดียวกันโดนยึดไปหลายรายก็มี เนื่องจากว่าความมั่นคงของบริษัทไม่เพียงพอ ตอนนั้นฟองสบู่แตก เพื่อนโดนปลดหลายรายเลยค่ะ
จากประสบการณ์ที่แสนเง่า(ของเรานะ) ทำให้รู้ว่า ควรวางเงินดาวน์ไว้แยะ ๆ หน่อย ผ่อนสบาย ๆ มีเงินสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัวบ้าง เพราะไม่ได้นอนอยู่บ้านได้ตลอดลูก ๆ เค้าต้องออกไปข้างนอกเรียนนั่นนี่อยู่นี่นา
เมื่อก่อนผมเช่าคอนโดอยู่ก็ 5000 แล้วตอนนี้ผ่อนบ้าน 7000 สำหรับผมเหนื่อยขึ้นมาอีกหน่อยแต่มีบ้านเป็นของตัวเอง คุ้มครับ
ผมไม่เหนื่อยครับ เงินเดือน 25000 ผ่อน 6800
จะเหนื่อยหรือไม่ อยู่ที่ตัวเราเองครับ
ก็ควรจะจัดสรรเงินให้ดี ๆ ค่ะ จะได้ไม่เหนื่อยมาก เวลาซื้อบ้้านก็ดูราคาด้วยว่ากำลังเงินเรามีผ่อนแค่ไหน จะได้ไม่ลำบาก
สิ่งที่ควรทำนึงถึงก็คือ อย่าตกงาน และต้องมีเงินเหลือบ้างเพื่อใช้จ่าย สิ่งที่ฟุ่มเฟือยก็เว้นไปบ้างคงไม่เป็นไร ยิ่งผ่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ ไปปีกลาง ๆ ของการผ่อน เงินที่ส่งไปจะกินเงินตั้นเยอะขึ้น ดอกเบี้ยจะลดลง ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราสบายขึ้นมาบ้าง
ไม่เหนื่อยค่ะ แต่ไม่สนุก เดิมเคยมีงบบันเทิง กอนข้าวนอกบ้าน นวดหน้าซื้อโน่นนี่ ตอนนี้ต้องคิดก่อนจ่ายหมดเลยค่ะ
แต่ละคนมีค่าใช่จ่ายในชีวิตไม่เหมือนกัน คุณคงต้องประเมินดูว่าคุณสามารถผ่อนได้กี่ % ของเงินเดือนคุณโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยหรือทรมานมาก ช่วง 4-5 ปีแรกอาจจะต้องระมัดระวังการใช้จ่ายที่สุรุ่ยสุร่ายอื่นๆ แต่พอต่อๆ ไป เงินเดือนคุณมากขึ้น คุณก็จะรู้สึกสบายมากขึ้นค่ะ
แนะนำว่า: อย่าซื้อบ้านเกินตัว และซื้อเมื่อพร้อมเท่านั้น
บ้าน 1 ล้าน(กู้เต็ม)
รถ 7 แสน(กู้)
เซ็งเป็ด
ไม่เหลือเลย
ผมผ่อนประมาณ 30% ของรายได้ ก็ยังไหวนะ สิ่งบันเทิงในชีวิตก็ยังมีอยู่ปกติ แต่กิจกรรมหลายอย่างลดลง เพราะพอมีบ้านแล้วมันจะอยากอยู่บ้าน นอนดูหนัง ฟังเพลง ทำโน่นทำนี่เดินขึ้น ๆ ลง ๆ เดินรอบบ้าน
สมัยอยู่คอนโด แทบเรียกได้ว่าเอาไว้ซุกหัวนอนเลยนะ ต้องหาเรื่องออกจากห้องทุกวัน
ผมผ่อนประมาณ 15000 ตอนซื้อรายได้ 27k ตอนนี้ 34k ก็สบายนะครับ
เราว่ามันขึ้นกับการบาลานซ์รายได้และรายจ่ายของแต่ละคนอ่ะค่ะ
คนสองคน ผ่อนบ้าน 30% ของรายได้เหมือนกัน
แต่รายรับจริงไม่เท่ากัน ก็เหนื่อยไม่เท่ากันค่ะ เช่นคนนึงรายได้เดือนละ 21000 ผ่อนเดือนละ 7000 เหลือใช้อย่างอื่นแค่ 14000
แต่อีกคน รายได้เดือนละ 1แสน ผ่อนเดือนละ 3หมื่น ยังเหลือใช้อีกตั้ง 7หมื่นบาท
สิ่งสำคัญอยู่ที่การประมาณตนอ่ะค่ะ นกน้อยทำรังแต่พอเพียง เพราะอย่างเรา เราจะเลือกซื้อบ้านที่ราคาสุงกว่านี้อีกก็ได้ แต่คิดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาบ้านใหญ่หรูขนาดนั้นไปทำไม เพราะลูกก็ไม่คิดจะมี อยู่กันสองคนกับแฟน แค่นี้ก็เหลือๆแล้ว เอาเงินไปกินเที่ยวหรือจะเก็บไว้ลงทุนอย่างอื่นให้มันงอกเงยดีกว่า สรุปว่า ผ่อนบ้านหลังนี้ไม่เหนื่อยค่ะ
ขอบคุณครับผม
ผม 22k + แฟน 12k ผ่อนเดือนละ6พัน กู้ 900k ผ่อนสบายๆ และมีเหลือเก็บพอประมาณถ้าไม่มีเรื่องค่าซ่อมรถมากวน ใจจริงอยากโปะมากกว่านี้แต่ต้องเก็บเงินไว้แต่งงานปีหน้า
ไม่เหนื่อยคะ กู้ 100 % สวัสดิการ
เพราะเราทำรังแต่พอตัว…ดูว่าไหวแค่ไหน
ตอนกู้…โครงการเชียร์ให้ซื้อบ้านเดี่ยวจัง
แต่ไม่เอา…เกินตัว เลยเอาแค่ทาวเฮ้าส์ ล้านกลางๆพอ
ตอนนี้ผ่านไปสามปี…เริ่มจะขยับอยากจะเป็นบ้านเดี่ยวแล้วคะ
แต่เราก็สามารถผ่อนรถ 2 คันได้นะ คิดว่าถ้าหมดสักคันเมื่อไหร่
ค่อยขยับขยาย…กินข้าวปกติ ไปเที่ยวปกติเดือนละครั้งถึงสองครั้ง
จนที่ทำงานถามว่า…เที่ยวบ่อยเกิน หาเงินจากไหนเนี้ย
แหม่…ไม่ต้องหรูหรา เที่ยวแบบพอเพียง ก็เพียงพอแล้ว
ร่ายตั้งยาว..สรุป รู้จักใช้…ไม่เดือดร้อน…คะ
ผมผ่อนมาจะ 3 ปีแล้วครับ ราคาบ้านอยู่ที่ 1.89 ล้าน เข้าแบงค์ 1.7 ล้านผ่อน 30 ปี
ทุกวันนี้รายได้จริงๆตกอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่น+ (รายได้ไม่แน่นอน) จ่ายค่างวดอยู่ที่หมื่นสอง, ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน (ไฟ นํ้า เน็ต โทร), ส่วนตัว (มือถือ เครดิตการ์ด กิน นํ้ามัน)…ยัง ยังไม่หมดครับ ทุกวันนี้ต้องส่งน้องเรียนหนังสือและให้เงินคุณแม่ใช้อีกซึ่งตกประมาณเดือนละ 1 หมื่น+ (Package เหมา เหมาครับ เหมาจ่ายหมดทุกอย่าง)
ทุกวันนี้เรื่อง entertain ต้องตัดออกเกือบหมดครับเพราะแค่ค่าใช้จ่ายที่บอกไปก็อ้วกแล้ว แต่มีบ้างที่เราก็อยากทำสิ่งที่เราชอบเช่นเล่นบอลหญ้าเทียม ซื้อหนังสือที่ติดตามมานาน ฯลฯ ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายครับ เรื่องดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวกลางคืนนี่งดไปเลยครับ
จากที่เคยมีเงินเก็บหลายแสนตอนนี้เหลือไม่ถึงแสนครับเพราะมี่ต่อเติมก่อนเข้าอยู่ด้วย
ยังไงก็ต้องสู้นะครับทุกคนท้อแท้ได้แต่อย่ายอมแพ้ อุปสรรคจะค่อยๆผ่านไปเอง แต่พูดตรงๆนะว่าไม่รูจะสามารถผ่อนบ้านไปได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่าเพราะน้องสาวเพิ่งเรียนอยู่ ม.6 เอง
ขอบคุณครับคุณ chainese7th ประสบการณ์ตรงๆแบบนี้เลยที่อยากรู้ ยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ 🙂
เห็นด้วยกับคุณ สาวออฟฟิศ ในคห.10 เรื่องความต่างของรายรับจริงครับ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ควรใช้เวลาตัดสินใจกู้เงินเหมือนกัน 🙂
ผ่อน 45% ของรายได้ เพิ่งเริ่มผ่อน แต่บอกกับตัวเองว่าถ้าไม่พอใช้ ก็ต้องประหยัด หรือไม่ก็ต้องหาจ๊อบเพิ่ม ผมเป็นประเภทไม่มีหนี้ก็ขี้เกียจ
ไม่กล้ากู้ครับ
คิดเล่นๆ ว่ากู้ล้านนึง ดอกล้านนึง <== ( อันนี้แปรผันได้ )
ทำใจไม่ได้ซักที…
เหนื่อยครับ..บางทีก็ท้อ..แต่คิดว่ามันคือทรัพย์สิน ชนิดนึง ก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้างครับ""
บ้านผม 1.72 ล้าน ผ่อนมา 4 ปี ตอนนี้เหลือ 1.5 ล้าน ผ่อนเดือนละ 12K
ตอนนี้รายได้รวม 50K เป็นเงินเดือน 42K และ รายได้ค่าเช่าบ้าน 8K
สิ้นปีนี้ได้โบนัสซัก 5 เดือนไปปิดค่างวดรถก็คงเบาตัวขึ้นอีกหน่อย
โชคดีที่ไม่มีภาระอะไรให้กังวล ไม่มีลูก เมีย พ่อ-แม่ใช้สวัสดิการบำนาญรัฐ…
สู้ ๆครับ ทุกๆท่านซักวันอิสระภาพจะเป็นของเรา
ผ่อนแล้วสบายใจ เพราะมีบ้นอยู่ ผ่อนไปเถอะครับ เพราะบ้านคือสิ่งที่บอกว่าเราก็มีผืนดินที่เป็นของตนเองบนโลกใบนี้ และสนุกกับการหาที่ตั้งบ้านเรา บน GooGle earth เห็นหลังคาบ้านเราก็มีความสุขแล้ว อีกไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป อย่าคิดอะไรมาก
เหนื่อย แต่ก็สุขใจครับ
ต้องใช้จ่ายอย่างระวังช่วงแรกๆ แต่อย่าลืมว่าเงินเดือนขึ้นทุกปียอดหนี้ลดต้นลดดอก…
ของเราทำธุรกิจ กู้เต็ม 3,2xx,xxx (บ้าน 3.1 ล้าน ประกันอีก 1.6 แสน) ผ่อน 20000 เช่าตึกทำธุรกิจอีก 10000 ก็หนักเหมือนกันค่ะ ไหนจะค่าสาธารณูฯ ก็เลยกะจะทำ office ที่บ้านเลย จะได้ลดไปบ้าง
ผมกุ้ 100% ครับ ใช้สวัสดิการ ปกส. 1.5m กับส่วนที่เหลือผ่อนแบงค์ ผ่อนประมาณ 50% ของเงินเดือนครับ
ผ่านไปได้ 6 เดือน แทบไม่ต้องไปไหนครับ จะเที่ยวหรือทำอะไรต้องคิดตลอด ตอนนี้รอโปรดอกถูกปีแรกหมดไปก่อน ว่าจะเอาเงินสดไปโป๊ะสัก 50% ของราคาบ้าน น่าจะสบายขึ้นหน่อยครับ
ปล. ถ้าเงินเดือนเพิ่มอีกสัก 10% น่าจะสบายกว่านี้
ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์ครับ
ขอเป็นแรงใจให้คุณNuxnixClub และคุณipong ด้วยครับ 🙂
ช่วงแรก ก็ลำบากหน่อยครับผ่านพ้นไปปีที่ 3 ก็จะเริ่มดีเอง ด้วยเหตุผล รายได้เพิ่มจากการปรับฐานเงินเดือน คุ้นเคยกับการไม่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเหมือนก่อน
สมัยก่อน ผมก็ิคิดว่าทำรังแต่พอตัว ซื้อทาวเฮ้าท์ หลังจากเริ่มทำงานมาได้สาม-สี่ปี เงินเดือน หมื่นสองพันบาท ผ่อนบ้านสี่พันห้าผ่อนรถอีกหกพัน กู้สวัดิดการบริษัททั้งหมด(ทำอยู่ไฟแนนส์) กินอยู่แบบประหยัด โบนัสออกไม่เคยได้ใช้ ก็โปะไปเรื่อยๆ ผ่อนอยู่เจ็ดแปดปี ไฟแนนส์ล้ม ได้เงินกองทุนเลี้ยงชีพมาก็ปิดตัดสดทั้งบ้านทั้งรถ เงินสดหมดตัว ตกงานสองคนผัวเมีย แต่มีบ้านมีรถ เหลือหนี้ค่าหุ้นที่บริษัทใจดีแจกให้พนักงานกู้อีก2คน ล้านเศษๆ เลยเป็น NPL black list ในเครดิตบูโรตามระเบียบทั้งสามีภริยา ก้มหน้า ก้มตาทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ งานสุจริตอะไรก็ทำหมด สองปีเก็บเงินใช้หนี้ได้หมด ไม่ต้องขึ้นศาล
ทำงานหนัก รายได้เพิ่มเป็นเงาตามตัว กู้ซื้อบ้านใหม่เป็นบ้านเดียว 4.7ล้าน คราวนี้ มีเงินสด 2ล้าน แต่กู้ไปก่อน 5 ล้าน กันเงิน 2 ล้านไว้สภาพคล่องและตกแต่ง เลือกดอกเบี้ย 0% 6 เดือน 1% 6เดือนถัดมา และ3% สองปี พอปีที่ 4 ลอยตัว MLR-0.75 แต่ถึงปีที่ 4 ผมก็มีเงินไปปิดหนี้ทั้งหมด ก่อนธนาคารจะคิดอัตราลอยตัว นี่เป็นวิธีประหยัดเงินวิธีหนึ่งครับ
หลังจากผ่านมาสองปี มีเงินเก็บก้อนใหม่และขายบ้านทาวเฮ้าท์เก่า(ขาดทุน)ได้ ก็เล็งคอนโดหรูห้องละ6ล้านต่อ กู้ 5 ล้านเหมือนเดิม กันเงินสดไว้ 3 ล้านเหมือนเดิม กะว่ารอบนี้คงจะผ่อนซัก 5-6 ปี พอ(ทำกู้ 30 ปี) เพราะค่าใช้จ่ายเรื่องลูกๆ ก็เพิ่มขึ้นพอควร ประหยัดๆๆ+ขยันๆๆ ครับ แต่พูดได้คำเดียว เหนี่อยshipห.ย ครับ นี่ซื้อเพราะว่างแผนเกษียณในอีก 15 ปีข้างหน้าแล้ว 🙂
กู้ 3 ล้าน 20 ปี ผ่อนเดือนละ 24,000 สิ้นปีเอาโบนัสโปะช่วย ผ่านมา 4 ปี เหลือหนี้ 1.4 ล้าน
ก็ยังสบายๆ + มีเงินเก็บเหลือเผื่อฉุกเฉินด้วยครับ ^^’