สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ยื่นเอกสารขอกู้บ้าน
ไม่รู้คนอื่นจะเป็นเหมือนเราหรือเปล่า คือกังวลปนเครียด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการยื่นกู้อีกธนาคาร
หลังจากที่ธนาคารหนึ่งที่ยื่นไปก่อนหน้ามีผลปฏิเสธ
เพราะติดประวัติในเครดิตบูโร
———————————
ขอออกตัวก่อนเล่ารายละเอียดละกันนะคะ
เราอาจจะมีประสบการณ์เรื่องการกู้ซื้อบ้าน
มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปซักหน่อยนึง
เพราะเคยจับพลัดจับผลูไปอยู่ในวงการ
ปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาพักนึง
เป็นระยะสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมากมาย
ถ้าใครจะขอคำปรึกษาก็พอจะมีให้ได้บ้าง
แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกก่อนว่า
เงื่อนไขในการปล่อยสินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน
มันมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ
ข้อมูลบางอย่างที่เราเคยรู้มันอาจใช้ไม่ได้กับบางสถาบันการเงิน
หรือบางสถานการณ์นะคะ
ถ้าใครจะกู้ แนะนำให้หาข้อมูลให้เยอะๆ จากหลายๆ ด้าน
ทั้งจากสถาบันการเงิน และจากแหล่งความรู้้ทั่วไป
เพื่อการเตรียมตัวที่ดีที่สุดค่ะ
คำค้นหา:
- กู้ซื้อบ้าน pantip
- สินเชื่อบ้าน pantip
- ผ่อนบ้าน pantip
- สินเชื่อบ้านpantip
- ประสบการณ์กู้บ้าน
- pantip สินเชื่อบ้าน
- กู้ซื้อบ้านธนาคารไหนดี pantip
- กู้เงินซื้อบ้าน pantip
- ประสบการณ์กู้เงินซื้อบ้าน
มันเยอะมากจริงๆคะพี่
อยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อ อิอิ
โอ้ โห ลุ้นจนเหนื่อยด้วยคน ของเรายังไม่ได้กู้เลย เพราะยื่นทำแบบกับเขตอยู่ ถ้าเสร็จก็ต้องให้ bank ประเมินเหมือนกัน
ตามอ่านค่ะ รีบมาเล่าต่อนะ
สวัสดีตอนดึกค่ะ
ขออนุญาตแตกกระทู้เรียกเรตติ้งนะคะ
ตามอ่านค่ะ ^^
เริ่มเล่าเลยละกัน..
เรามีความคิดที่จะขยับขยายบ้านมาเป็นปีแล้วเหมือนกัน
บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง
และหลานสาวสี่ขวบอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งความคิดที่จะย้ายก็มาจากนังหลานสาวตัวแสบเนี่ยล่ะ
อยากให้คุณเธอโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าปัจจุบัน
บ้านปัจจุบันเราเป็นทาวน์เฮ้า อายุมากกว่า 20 ปี
ซึ่งเราต้องการที่จะขายบ้านหลังนี้
เพื่อเอาเงินไปสมทบกับการกู้ซื้อบ้านใหม่
ซึ่งจากการเคยคลุกวงในวงการสินเชื่อบ้าน
ทำให้เรารู้ว่าบ้านอายุขนาดนี้ไม่สามารถเอาเข้าแบ๊งได้แล้ว
โจทย์แรกของเราคือ เราต้องขายบ้านหลังนี้ให้ได้ก่อน
บ้านเราถึงจะเก่า แต่ก็มีข้อดีตรงทำเล
อยู่ในชุมชนที่ใกล้กับจุดเชื่อมต่อขยายสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
เป้นซอยที่พลุกพล่าน อยู่มายี่สิบกว่าปีไม่เคยเจอเรื่องขโมยงัดแงะ
กลุ่มเป้าหมายของคนที่จะมาซื้อบ้านเราจึงได้แก่
บรรดาแม่ค้าที่ค้าขายอยู่ในตลาดสดใกล้บ้านเรา
หรือคนในชุมชนในละแวกนี้ ที่อยากมีที่อยู่ของตัวเองโดยไม่ต้องเช่า
มีคนมาดูบ้านเราอยู่เรื่อยๆ
แต่ก็ยังไม่ลงตัว ติดเรื่องกู้แบ๊งบ้าง อะไรบ้าง
จนกระทั่งมีแม่ค้ากับข้าวปากซอยมาตกลงขอซื้อ
ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ก็พูดคุยกันนานประมาณหนึ่งเลยทีเดียว
ระหว่างที่รอตกลงขายบ้านปัจจุบัน
เราก็มองหาบ้านหลังใหม่ไปพร้อมๆ กัน
จริงๆ เริ่มเมียงๆ มองๆหา มาก่อนนานแล้วเหมือนกัน
ตอนนั้นก็ตกลงปลงใจไว้กับบ้านในโครงการเล็กๆ
ทำเลอยู่ห่างออกไปจากบ้านปจบ.ประมาณ 4-5 ป้ายรถเมล์
เพราะตัวบ้านดูดีประมาณหนึ่ง
เป็นทาวน์โฮม (มันต่างจากทาวน์เฮ้ายังไงเหรอ)
3 ชั้น 3 นอน 4 น้ำ
กับราคาสามล้านปลายๆ (เฮือก…)
ก่อนหน้าจะมาลงตัวกับโครงการนี้
ก็ผ่านการถกเถียงกันระหว่างสมาชิกในบ้าน
ฝั่งแม่อยากได้บ้านเดี่ยว แต่พอชั่งน้ำหนักดูแล้ว
สมาชิกส่วนใหญ่ในบ้านไม่อยากออกไปอยู่ไกลๆ
เลยขอเป็นทาวน์โฮมคล้ายๆ เดิม
แต่เพิ่มฟังก์ชั่นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น
บ้านปัจจุบันเรามีห้องน้ำชั้นล่างห้องเดียว
เวลาเร่งด่วนใช้ห้องน้ำพร้อมๆ กัน จะเซ็งมากถึงมากที่สุด
เลยเลือกโครงการนี้ที่ตอบโจทย์เรื่องการเกาะทำเลรถไฟฟ้าพาดผ่าน
และได้บ้านที่สภาพน่าอยู่มากขึ้น
อ่ะนะ.. กะจะเล่าเรื่องการกู้ นอกเรื่องไปซะไกลเชียว
แต่จะบอกว่า เรื่องโครงการที่จะซื้อก็มีผลต่อการขอกู้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าเป็นโครงการบริษัทใหญ่ๆ มีจำนวน Unit เยอะๆ
ก็อาจจะได้เงื่อนไขดอกเบี้ยดีๆ จากธนาคารมากกว่า
เพราะธนาคารจะดูปริมาณ Volume ลูกค้าที่จะได้จากแต่ละโครงการ
ถ้า Volume สูง อำนาจการต่อรองก็จะมาก
อะไรประมาณนั้น
ทีนี้เราก็ไปวางเงินจอง แต่วางไว้แค่หลักพันก่อน
เพราะรอทางคนที่มาซื้อบ้านเราจะมาทำสัญญาวางมัดจำ
แล้วเราก็จะเอามัดจำมาวางกับโครงการที่จะซื้อใหม่อีกทอดหนึ่ง
แต่ระหว่างรอ เราก็ค้นโน่นนี่ในเว็บไปเรื่อย
จนไปพบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น
เป็นบ้านทาวน์โฮมของโครงการมีชื่อเสียง
ห่างจากโครงการปัจจุบันออกไปอีกหน่อย
แต่ยังเกาะแนวต่อขยายรถไฟฟ้าอยู่
แต่ไม่ได้ซื้อตรงกับโครงการ เพราะเขาขายหมดไปได้เกือบปีแล้ว
แล้วคนที่ซื้อไว้เอามาประกาศขายต่ออีกที โดยที่บ้านยังซิงๆ อยู่
เพราะยังไม่มีใครย้ายไปครอบครองโดยพฤตินัย
เราแวะไปดุทำเล ดูสภาพแวดล้อมของโครงการ แล้วก้ชอบมาก
ตรงที่ทางเข้าออกสะดวกสบาย
และนิติบุคคลที่จัดตั้งเสร็จแล้วดูท่าทางดูแลความปลอดภัยดี
แถมมีสระว่ายน้ำ (แม้จะขนาดเท่าปลานิลดิ้นตาย)
มีสนามเด็กเล่น (ที่ขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มพอๆ กะสระว่ายน้ำ)
แต่ก็ถือว่าวภาพแวดล้อมดีเลิศกว่าโครงการเดิม ที่ทางเข้าซอยแคบมาก
แถมหลังโครงการก็เป็นชุมชนที่ไม่น่าวางใจได้สนิทนัก
นิติบุคคลที่จะจัดตั้งหลังจากโครงการขายหมดก็ไม่รู้จะดุแลได้ดีแค่ไหน
อย่างว่าแหละค่ะ เมื่อหมดใจแล้วก็หาข้อติมาได้อยุ่เรื่อยๆ
สุดท้าย หลังจากนัดเจ้าของมาเปิดบ้านขอดูสภาพภายในบ้านโครงการใหม่
และปรึกษากันภายในบ้าน รวมทั้งปรึกษาคนอื่นๆ อีก
เราก้ตัดสินใจทิ้งมัดจำโครงการเดิม มาสานต่อกับโครงการนี้
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนวางมัดจำ
ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของบ้านหลังใหม่
แล้วก้เข้าสู่ขั้นตอนการขอกู้ (ซะที)
ว่าแต่ขอตัวไปจัดการภาระในบ้านก่อนนะคะ
บ่ายๆ เย็นๆ อาจเข้ามาเล่าต่อ
(ถ้ามีคนอยากอ่านต่อ)
แวะมาปาดดด
ดีครับ
เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ขอให้ได้บ้านใหม่เร็วๆนะครับ จะได้ตามมาดูรูปบ้านต่อไป…
รออ่านต่อค่า ^ ^
I’m waiting ka..
รอติดตามอยู่น่ะคร้าบบบ
รออยู่นะ
………….
หายไปไหนนนนน นานจัง
มาแว้ว..
ดีใจจังมีคนรออ่านด้วย
ขอแว้บไปเขียนสักครู่
ย้อนไปก่อนที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายกับคนที่จะมาซื้อบ้านปัจจุบันของเรา
แม่เราผู้เป็นเจ้าของบ้านตัวจริง ก็ถามย้ำหลายที ว่าคิดดีแล้วแน่นา
ผ่อนไหวแน่นา อยู่สบายๆ แบบไม่ต้องผ่อน (เพราะแม่ผ่อนให้จนหมดแล้ว)
ไม่ดีกว่าหรือ
เราก็บอกแม่ไปว่า มันถึงเวลาที่ต้องขยับขยายแล้ว
ถึงเราจะไม่คิดหาซื้อบ้านใหม่ เราก็ต้องหาเงินมาซ่อมบ้าน
หลังที่อยู่ทุกวันนี้อยู่ดี ที่แน่ๆ ต้องทำห้องน้ำชั้น 2 เพิ่มแน่ๆ
เพราะเราเบื่อสภาพการจราจรหน้าห้องน้ำคับคั่งเต็มทน
นี่ขนาดเราไม่ได้เป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องออกแต่เช้าทุกวัน
แค่บางวันไหนมีนัดตอนเช้า เราก็เซ็งเป็ดจะแย่
และถ้าเราซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน มันก็ต้องมาวุ่นวายกับการ
สรรหาและต่อกรกับบรรดาช่างเทวดาทั้งหลายอีก
คือยังไงก็หลีกหนีทางที่จะต้องวุ่นวายและเสียเงินกับ
ที่อยู่อาศัยไม่พ้นอยู่แล้ว ดังนั้น เรากับน้องเลยตกลงกัน
ว่า เราเลือกที่จะหาที่อยู่ใหม่กันเลยจะดีกว่า
ตอนนั้นแม่ก็ถามว่า แล้วจะกู้ผ่านหรือ?
เราตอบไปว่า "ต้องผ่าน"
ไม่ใช่ว่ามั่นใจอะไรหรอก แต่เป็นการ Motivate ตัวเองให้ฮึกเหิม
เพราะสำหรับเรา การยื่นเรื่องขอกู้มันก็คล้ายกับ
การทำโปรเจ็คต์อะไรซักอย่างเพื่อไปขายลูกค้า
ต้องมีการประเมินตัวเอง ประเมินธนาคารที่จะไปขอกู้
แล้วก็ค่อยวางแผนการดำเนินการ
เคสเรานี้ คนที่จะกู้คงต้องเป็นเรา ไม่ก็น้องสาว
วงเงินที่เราต้องการจะขอกู้คร่าวๆ ได้แก่
ราคาบ้านใหม่ – ราคาบ้านเก่าที่ขายได้
ซึ่งมันก็ยังเป็นตัวเลขที่สูงเอาเรื่องอยู่
ดูแล้วกู้คนเดียวไม่น่าผ่าน เพราะฐานรายได้
คนใดคนหนึ่งไม่น่าจะพอ..
———————-
น้องสาวเราทำงานประจำ อายุงานเกิน 2 ปี
บริษัทมั่นคง ฐานเงินเดือนไม่ขี้เหร่นัก (แต่ก็ไม่พอ
ที่จะกู้คนเดียว) ไม่มีหนี้ มีบัตรเครดิตใบเดียวไว้ใช้จ่าย
แต่ก็ชำระยอดเต็มทุกเดือน และก็ยังมีเงินเก็บในบัญชีฝากประจำ
รวมทั้งลักษณะกรมธรรม์ประกันชีวิต ถือเป็นผู้กู้ที่มี Profile สวยงาม
ซึ่งลักษณะที่ว่ามา ตรงข้ามกับคุณสมบัติของเราเกือบทุกอย่าง
อันตัวข้าพเจ้านั้น มีหน้าที่การงานไม่เป็นหลักแหล่ง
แล้วแต่จะมีคนมาจ้าง เรียกให้ดูดีหน่อยก็เรียกว่าเป็น
freelance รายได้ไม่ขี้เหร่ แต่ก็ไม่เหลือเก็บ
มีหนี้บัตรเครดิตที่ทยอยปิดอยู่ เหลืออีก 2 บัญชีก้จะเคลียร์หมด
(เฮือก..) เล่าแล้วก็เหมือนประจานตัวเอง
——————————–
ลักษณะอาชีพอย่างเรานั้น ต้องเหนื่อยหน่อย กว่าจะทำให้ธนาคารเชื่อ
ว่าเป็นผู้มีรายได้จริง และมั่นคงพอที่จะรับภาระหนี้กับธนาคารได้
ดังนั้น หลักฐานเอกสารที่ต้องแนบไปกับใบคำขอสินเชื่อจึงต้องมี
มากกว่าหลักฐานของน้องสาวเรา
หลักฐานสำคัญของเราได้แก่ ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่เราได้รับ
ทุกครั้งเมื่อมีใครจ่ายค่าจ้างให้เรา รวบรวมย้อนหลังประมาณเกือบปี
แล้วเอาจำนวนเดือนมาหารเฉลี่ย เพื่อคำนวณรายได้ต่อเดือน
มากรอกในช่องเงินเดือน
ระหว่างที่เรารวบรวมเอกสารประกอบการกู้
เราก็ตระเวนคุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อบ้านจากหลายธนาคาร
นับดูแล้วน่าจะเกือบสิบยี่ห้อได้ บางธนาคารก็ถามหาสัญญาจ้าง
ระหว่างเรากับบริษัทที่จ่ายรายได้ให้เรา เราส่ายหน้า บอกว่าไม่มีค่ะ
บางธนาคารก็ให้เราไปขอใบรับรองจากบริษัทที่จ่ายรายได้มา
แต่เราไม่ค่อยอยากไปรบกวนบรรดาบริษัทที่มีสถานะเป็นลูกค้าของเรา
เรามันก็แค่ฟรีแล้นซ์ตัวเล็กๆ แต่เราเชื่อว่าความสม่ำเสมอของตัวเลข
รายได้ที่เข้ามา ซึ่งมีหลักบานย้อนหลังอ้างอิงได้เกือบสองปี
ข้อมูลหตรงนี้น่าจะถูกนำไปประเมินเป็นความมั่นคงทางรายได้ของเรา
แต่เนื่องจากแค่ตัวเลขที่ปรากฏในใบหัก ณ ที่จ่าย มันยังไม่เพียงพอ
เพราะลักษณะงานของเรามันไม่ใช่งานที่จะบอกให้ใครๆ เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า
ทำอะไร ไม่เหมือนอย่างวิชาชีพที่เป็นที่รู้จักอย่าง หมอ ทนาย สถาปนิก
ดังนั้น เอกสารที่ต้องแนบไปประกอบด้วยจึงได้แก่ อะไรก็ได้
ที่จะทำให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อมองภาพออกว่า
งานที่ก่อให้เกิดรายได้กับเรา มันคืองานอะไร
สำหรับเรา เอกสารเหล่านั้นได้แก่ ภาพถ่ายเวลาที่เราทำงาน
พร้อมคำอธิบาย และเอกสารจุกจิกที่เราใช้จริงเวลาทำงาน
ก็แนบไปพองาม รวมทั้งตารางสรุปตัวเลขรายได้ย้อนหลัง 1 ปี
ว่าได้มาจากบริษัทไหนบ้าง
ในส่วนของธนาคารที่เราเลือกจะขอกู้
(ถึงไม่สวย แต่ก็ขอเลือกนิสสสนึง)
อย่างที่บอกว่าเราตระเวนไปคุยกับหลายธนาคารมาก
เงื่อนไขที่เรานำมาพิจารณาเป็นหลักก้คือ ความยากง่ายในการอนุมัติ
ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ ก็มักจะนิยมผู้กู้ที่โปรไฟล์ดี ประเภทน้องสาวเรา
จนท. ธนาคารพาณิชย์ที่มีชื่อเป็นจังหวัดแห่งหนึ่ง ถึงกับบอกเราให้ไปกู้
ธนาคารอื่นที่มีชื่อเรียกเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ
เธอบอกว่า มาตรฐานะธนาคารของเธอคงไม่ปล่อยเงินกู้ให้เรา
แหม่.. แนะนำตรงไปตรงมาดีแท้.. เราชอบนะ
แต่ทุกธนาคารที่เราไปคุยด้วย ไม่มีใครรู้หรอก
ว่าเราเคยคลุกวงในวงการสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินหนึ่ง
มาชั่วระยะหนึ่ง
ประสบการณ์ในตอนนั้นบอกเราว่า
ตัวแทนของธนาคารที่เราจะยื่นใบคำขอสินเชื่อไว้ให้ดำเนินการให้
ก็เป็นส่วนสำคัญ และมีผลต่อผลการพิจารณาสินเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคสที่ผู้กู้มีฐานรายได้ร่อแร่ๆ เช่นเรา
เจ้าหน้าที่ที่รับเอกสารจากเรา จะมีหน้าที่ในการเตรียมความพร้อม
ของเอกสาร และข้อมูลที่ทางธนาคารต้องการทราบ เพื่อนำไป
พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ หากเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่อง
เห็นว่าเอกสารของเรายังไม่พร้อม เขาก็จะติดต่อเราเพื่อขอไอ้โน่นไอ้นี่เพิ่มเติม
และสำหรับเคสของเรานั้น เราเลือกจะยื่นขอสินเชื่อพร้อมกันทีเดียว 4 ธนาคาร
โดยที่เรามั่นใจในตัวของเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องจากเราเพียงแค่ธนาคารเดียว ส่วนธนาคารอื่น เราเลือกเพราะมีสาขาที่สะดวกต่อการไปยื่นเอกสารเท่านั้น
หลังจากยื่นเอกสารครบ เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์
1 ใน 4 ของธนาคาร ก็มีผลการพิจารณาออกมา
ไม่ใช่ธนาคารที่เรารู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่รับเอกสาร
และผลการพิจารณาก็ออกมาเป็นปฏิเสธ!!
ปฏิเสธเพราะ ลักษณะอาชีพของเรารายได้ไม่แน่นอน
และเพราะ.. น้องสาวของเรามีประวัติการค้างชำระสินเชื่อ
ในขั้นร้ายแรง…
ธนาคารแรกที่ปฏิเสธนี้ เราสรุปได้เลยว่า เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องนั้น "อ่อน"
ไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดเธอที่เราถูกปฏิเสธ
แต่เราตัดสินจากการให้คำปรึกษาของเธอ ในยามที่เราหอบเอกสารไปให้ดู
เธอไม่เคยมีท่าทีเป็นกังวลกับเอกสารเราเลย
ไม่เคยบอกว่า ควรจะมีเอกสารโน่นนี่นั่นมาประกอบเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
คือเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องที่ดี ควรจะช่วยเรากลั่นกรองในเบื้องต้นได้ระดับหนึ่ง
อย่างจนท. ธนาคารที่บอกให้เราไปกู้ที่อื่นเป็นต้น นั่นถือเป็นการให้คำปรึกษา
ที่ตรงไปตรงมา และชัดเจน ซึ่งเราชอบเจ๊คนนั้นมาก
แต่สาเหคุหลักที่ทำให้ถูกปฏิเสธนั้นไม่ได้มาจากเราแค่คนเดียว แต่มาจากน้องสาวเราที่มีประวัติเสียในเครดิตบูโร ทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
กับคนที่มีวินัยในการใช้เงินอย่างยิ่งยวดเช่นน้องเรา
ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดที่แย่มาก เพราะมันเกิดจากคนอื่น…
เพราะ
ย้อนไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน น้องสาวเราถูกขอร้องให้เอาชื่อไปทำเรื่องกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถให้คนๆ หนึ่ง
เป็นการขอร้องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
และผลในการกู้ครั้งนั้นก็ออกมาแบบร้ายแรงที่สุด
คือคนซื้อตัวจริงเอารถไปขับอย่างเดียว ขาดการผ่อนชำระ
ไฟแนนซ์ทวงถามมาที่ผู้กู้ ซึ่งน้องเรามันก็ไม่ยอมที่จะจ่าย
กับอะไรที่มันไม่ได้ก่อ
พอค้างชำระหลายงวดเข้า เราก็จัดการติดต่อให้คนซื้อตัวจริง
เอารถไปคืนไฟแนนซ์ ซึ่งก็ถือเป็นการยึดรถนั่นเอง
แต่เป็นการยึดที่เราไปบงการ โดยการนั่งรถไปกับคนขับ
ให้ไปจอดให้กับบริษัทไฟแนนซ์ถึงที่
หลังจากนั้น บ.ไฟแนนซ์ก็เอารถไปขายทอดตลาด
แต่ก็ได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลหนี้ ก็เลยมีการเรียกเก็บส่วนต่าง
เป็นเงินเกือบแสน มาที่น้องเรา
ซึ่งเรา กับน้อง ก็ก้มหน้ากล้ำกลืนชดใช้ให้ไป
เพราะดูแล้วว่าไม่สามารถจะไปบังคับให้คนที่ก่อหนี้ตัวจริงมาชดใช้ได้
ทั้งนี้ก็เพราะไม่อยากให้เครดิตเสียไปมากกว่านี้ด้วย
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดมาเป็นเวลามากกว่า 2 ปี แล้ว
(นับจากตอนที่เรากับน้องเคลียร์หนี้ทั้งหมดกับไฟแนนซ์)
ซึ่งก่อนจะยื่นกู้เราก็รู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธเพราะเหตุนี้
และเมื่อมันเป็นจริงตามนั้น หลังจากรู้ผลธนาคารแรก เราก็พาน้องเรา
ไปตรวจข้อมูลเครดิตที่บริษัทข้อมุลเครดิต
ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ประวัติการค้างชำระเกิน 120 วัน ยังปรากฏใน
ฐานข้อมุลที่เรียกมาดู แต่จากการสอบถามจนท. ของ บ.ข้อมุลเครดิต
จนท. บอกว่า ข้อมูลการค้างชำระนี้จะถูกลบไป หลังจากที่มีการปิดบัญชีหนี้
ไปแล้ว 3 ปี ซึ่งในเคสน้องเรานี้ มันขาดไปแค่ 8 เดือน ก็จะครบ 3 ปี
สิ่งที่เราดำเนินการหลังจากนั้นก็คือ ตรวจเช็คไปยังธนาคารอีก 3 แห่ง
ที่ผลยังไม่ออก ซึ่งธนาคารที่เรารู้จักกับจนท.รับเอกสารนั้น
เรื่องถูกนำเข้าไปพิจารณาแล้ว แต่อีก 2 ธนาคาร เรื่องยังค้างอยุ่ที่จนท.
รับเอกสาร เพราะ ธ.หนึ่ง ต้องรอผลการตรวจประเมินบ้านก่อน ส่วนอีกธนาคาร
เดาว่าจนท.คงแพ้ท้อง เลยดองเอกสารเราไว้กินเล่นแก้แพ้
สำหรับธ.ที่ยังไม่ส่งเรื่องเราเข้าระบบ เราจัดการเรียกเก็บเอกสารคืน
ด้วยเหตุผลที่ว่า หากมีการนำเรื่องเข้าระบบ
ก็จะมีการตรวจสอบข้อมุลเครดิตผู้กุ้ ซึ่งจะทำให้ธ.เหล่านั้น บันทึกประวัติ
เสียๆ ของน้องเราเอาไว้ และประวัติอันนี้จะถูกบันทึกในฐานข้อมูล
ของแต่ละธ. ไปอีกนานแสนนาน แม้ข้อมุลในเครดิตบูโรจะลบไปแล้วก็ตาม
และหลังจากนั้นไม่นาน ธ.ที่เรารู้จักกับจนท. ที่รับเอกสาร ก็มีผลปฏิเสธตามออกมา ด้วยเหตุผลไม่ต่างจาก ธ. แรกที่ปฏิเสธ
แงๆ เหนื่อยแล้ว
ไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อนะ