หรือไม่ก็รางปลั๊กแบบในภาพก็ได้

ถ้าติดดวงเดียว จะแยกได้สองกรณีคือติดเขียว หรือ แดง
-ติดเขียว = L N ถูกต้อง
-ติดแดง = L N สลับกัน

ถ้าติดสองดวง = ไม่มีกราวด์

ไฟมันจะขึ้นตอนเสียบปลั๊ก แล้วเทียบกับตารางที่พิมพ์ไว้บนตัวมัน
จะรู้เลยว่าปลั๊กนั้นไม่ต่อกราวด์  หรือไฟ L ออกสลับขั้ว
ใช้แค่เสียบเข้าไปเฉยๆ  ราคาน่าจะร้อยกว่าบาท

-ปลั๊กไฟถ้าเป็น 2 รู ก็เท่ากับตัวนั้นๆ ไม่มีกราวด์  ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องมีกราวด์ทุกปลั๊กก็ได้
เช่นเครื่องไฟฟ้าที่มันมีขาปลั๊กแค่ 2 ขา(เช่นพัดลม)แบบนี้เอาไปเสียบกับปลั๊กที่ทำกราวด์ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

-เรื่องปลั๊กชั้นบนที่ไม่มี 3 รู อันตรายไหม  ก็ดูที่เครื่องไฟฟ้าครับ ถ้าไม่มีชิ้นไหนมีปลั๊ก 3 ขาเลย แล้วคุณเปลี่ยนเป็นปลั๊ก 3 รูหมดก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
แต่ถ้าจะทำเผื่อเอาไว้อันนี้เห็นด้วย วันนี้ไม่ได้ใช้วันหน้าอาจมีเครื่องไฟฟ้าที่ต้องเสียบ 3 ขา จะได้พร้อมใช้ทันที

-สะพานไฟ ชั้นบน-ล่าง แยกได้ครับ บางระบบแยกมากกว่านั้นอีก เช่นแยกของปลั๊ก กับระบบแสงสว่างออกจากกัน  ส่วนแบบกันไฟดูดก็มีหลายแบบราคาพันกว่าบาท(ไม่ต้องติดเป็นเซพทีคัตตัวโตๆ ก็ได้)

-เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน ก็ใช้ตามปกติไป เช่นโน็ตบุคมี 3 ขา ก็เสียบไปมันก็จะต่อกราวด์เองกับเต้ารับ   ส่วนพวกที่มี 2 ขาก็เสียบไปตามปกติไม่ต้องทำอะไร แล้วปลั๊กทุกๆตัวจะต่อสายกราวด์ไปรวมกันที่เบรกเกอร์หลัก(สะพานไฟ)ของบ้านแล้วมีหลักดินตอกลงดิน 1 จุด
ส่วนอุปกรณ์บางอย่างที่มันมีแค่ 2 ขา อย่างตู้เย็นก็ควรหาทางต่อสายดินเสริมให้มัน(พวกที่โครงเป็นเหล็ก)

-สายที่ต่อจากมิเตอร์เข้าบ้าน ต้องเปลี่ยนครับเพื่อให้รับโหลดได้มากขึ้น (หลังจากเพิ่มแอมป์มิเตอร์)
-ปลั๊กพานา ใช้ได้ครับแต่ต้องของแท้นะครับ เดี๋ยวนี้มีปลอม
-วิธีทดสอบ ถ้าให้ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องไฟฟ้าผมแนะนำให้ซื้อตัวเช็คปลั๊ก เอาไปเสียบที่ปลั๊กแต่ละตัวในบ้าน เพื่อทดสอบว่าต่อสายดิน และสาย L ไม่สลับช่อง(เดี๋ยวหาภาพให้ดู)

ส่วนตัวปลั๊ก ต้องเป็น 3 รู ถ้าไม่สะดวก ก็เลือกใช้เฉพาะจุด เช่น ปั้มน้ำ ตู้เย็น ไมโครเวฟ คอมพิวเตอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น

ส่วนปลั๊ก ซื้อตามร้านค้าส่งจะถูกกว่า ซื้อตามห้าง
ที่บ้านใช้ของ Haco สวย แต่ข้อเสียคือ รูเสียบปลั๊กแข็งจัง