วันนี้จะมาบ่น ว่า “รำคาญกรรมการนิติบุคคล(คนเดียวนะ)ของหมู่บ้าน” มากๆ อยากจะบ่นๆๆๆๆๆให้เป็นหลักฐานไว้ ณ ที่นี้ …
จริงอยู่ ….นิติบุคคลบ้านจัดสรรนั้น น้อยรายที่ไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ตัวกรรมการ ลูกบ้าน หรือด้วยเหตุการณ์ในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นกรรมการที่มาจากลูกบ้านจิตอาสา หรือ ลูกบ้านเลือกเพื่อนบ้านให้มาอาสาแบบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ คือเลือกกันเข้ามา หรือบางแห่งก็จ้างมืออาชีพมาบริหาร แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แบบไหนๆก็ไม่ perfect มีดีมีลบกันไปคนละอย่าง
หมู่บ้านทรายทองของอิชั้นก็เป็นนิติบุุคคลมาหลายปีดีดัก อิชั้นก็เคยเป็นกรรมการอยู่ตอนที่อยู่ซอยเก่า พอย้ายมาสร้างใหม่อีกซอย เพื่อนบ้านใหม่ไม่รู้จัก หรือที่รู้จักกันก็ไม่เลือกอิชั้นเป็นกรรมการ และส่วนหนึ่งไม่ชอบขี้หน้าอิชั้น และมีเรื่องราวกันตอนก่อสร้าง
แต่รังสีความโหดของอิชั้นคงเข้าตาประดากรรมการที่เค้าได้รับการเลือกตั้งกันมา จึงได้รับเกียรติยศศักดิ์ศรี ให้มาเป็นที่ปรึกษา ฝ่ายไหนเอ่ย…ฝ่ายที่สำคัญที่ซู๊ดในหมู่บ้าน นั่นคือ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย พูดง่ายๆก็คือมาดูแลคนในเครื่องแบบ หรือพี่ยามนั่นเอง
อิชั้นก็ไม่ได้ค่อยช่วยงานเค้าเท่าไหร่ แค่ช่วยออกไอเดียเล็กๆน้อยๆผ่านกรรมการพี่ๆที่สนิทๆกันบางครั้ง ไม่ได้เข้าประชุมอะไรกะเค้าเลย หวังว่าเค้าจะปลดออกจากตำแหน่งใหญ่โตคับหมู่บ้านเสียที
ขอท้าวความหน่อย ว่า หมู่บ้านอิชั้นมีลูกบ้านราว 800 หลัง อยู่กันมานมนาน ยี่สิบปีเห็นจะได้ ดังนั้นบ้านรุ่นแรกๆก็ได้รับการ renovate หรือทุบทิ้งสร้างใหม่ก็เยอะ นั่นคือสาเหตุของความขัดแย้งของหลายๆบ้านในระหว่างการก่อสร้าง จนอิชั้นตระหนักซึ้งถึงคำพังเพยที่ว่า “ที่ไดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ที่ใดมีการก่อสร้างที่นั่นมีการร้องเรียน” ความไม่พอใจเกิดจาก รูป (บ้านสวยใหม่ๆทำให้บ้านชั้นหมองเว้ย) รถ (รถคนงาน รถขนปูน รถสารพัดเข้าออกกันตลอด) กลิ่น (ตกแต่งเหม็นสีมากมาย) และ เสียง (ตั้งแต่ตอกเสาเข็ม ตอกตะปู ยันคนงานทาสีไปฮัมเพลงไปก็หนวกหูว้อย) กว่าจะสร้างเสร็จก็เล่นเอาเจ้าของบ้านที่ก่อสร้างโดนเกลียดขี้หน้าไปหลายเดือน
อีกเรื่องที่ตามมา และเป็นปัญหาอมตะนิรันดร์กาลคือ “การโจรและการขโมย” มีการงัดแงะตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงการยกเซฟขนาด 100 กก.ออกไปอย่างไร้ร่องรอย เชื่อหรือไม่ว่า
****ทุกคดี ไม่เคยจับได้สักรายเดียว****** จึงขอชื่นชมสน.บาง…..มา ณ จุดนี้
ดังนั้น กรรมการหมู่บ้าน จึงหมกมุ่น วนเวียน และเอียนกับการหามาตรการในการ “ป้องกัน” มากกว่าการตามหาให้เจอ เพราะยังงัยก็ไม่เจอ ตำรวจก็ยังหาไม่เจอ ได้แต่ตั้งสมมติฐานว่า คนที่น่าจะใช่คือ “กรรมกรและคนงานก่อสร้างต่างๆ” ที่เข้ามาทำงานในหมู่บ้านเรานั่นเอง แม้ว่าจะเป็นแบบให้เข้าเชาเย็นต้องกลับออกไปก็ตาม
อิชั้นเองสมัยเป็นกรรมการ ก็มักจะเจ๋อบอกว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่ามีแต่พี่คนงานก่อสร้างเท่านั้น อาจจะใช่ในระดับงัดแงะกระจอกๆ แต่ขั้นยกเซฟนั้น อิชั้นว่าน่าจะมืออาชีพ หรือ คนที่อาจดูไม่น่าสงสัยและไม่ถูกสงสัย (ดู CSI มากก็จะคิดแบบนี้)
ตัวอย่างเช่น กรณีที่ 1 บ้านนักบิน (อาชีพที่ออกจากบ้านไม่เป็นเวลากลับเมื่อไหร่ไม่รู้ อยากรู้ต้องโทรถามสายการบิน) ออกจากบ้านไปกินก๋วยเตี๋ยวในซอย ตอนเที่ยง กลับมาบ่ายสอง โดนงัดเซฟ ปืนพกหาย เงินสกุลต่างๆหาย แหวนนาฬิกาเรียบ แต่ไม่เอาทีวีตู้เย็นไมโครเวฟ
กรณีที่ 2 อยู่บ้านทั้งวัน ออกจากบ้านตอนเย็นๆ กลับมาเที่ยงคืน เซฟโดนยกไปแล้ว ทั้งๆที่ไม่ค่อยออกจากบ้านในเวลานั้นเท่าไหร่ โจรรู้ได้งัย
กรณีที่ 3 ปรกติเปิดไฟโรงรถเวลาค่ำๆ หากต้องออกจากบ้าน มีวันนึงไม่เปิด ก็โดดเข้ามาทางบ้านเพื่อนบ้านที่เป็นบ้านร้าง ยกเซฟไปได้อีก
จากสามกรณี อิชั้นสรุปว่า หมู่บ้านอิชั้นเป็นไรมากมั๊ย มีเซฟกันทุกหลัง เอ๊ย ไม่ใช่ มันต้องมีคนแอบดูอยู่ห่างๆ หรือรู้ทางอะไรสักอย่าง คิดว่าคนงานก่อสร้างทำได้ขนาดนั้นหรือ…
จนกระทั่งไม่นานนี้ ปริศนาได้ถูกไข เพราะมีบ้านหลังหนึ่ง กลางวันแสกๆ โดนยกเค้าเอาแต่ของเล็กๆ (เช่น ทอง นาฬิกา พระเครื่อง )ใหญ่ๆไมแตะ บ้านนี้ ติดวงจรปิด จึงเห็นภาพคนร้ายชัดเจน ….แต่นแตนแต๊นนนนน…
เขาคือ…….