คือเหมือนผมตอนแรกเลยคับที่งงว่ามันต่างกันยังไง ผมเลยเอาที่ผมเคยหาไว้มาฝากคร่าวๆนะครับ ผมบอกก่อนนะครับผมใช้ของ bios life Air อ่ะครับ เพราะมันเป็นตัวที่ราคาถูกที่สุดที่ได้ American Lung Association (ก็คือ สมาคมโรคปอดแหงสหรัฐอเมริกา) คับ ซึ่ง ยี่ห้อที่ได้ ก็จะมี Honeywell กับ bios life Air สองตัวนี้เท่านั้นที่ผมรู้อ่ะครับที่ได้ ส่วนยี่ห้ออื่นๆ ก็เป็นรางวัล นวัตกรรมประดิษฐ์ที่มอบกันในประเทศเค้าเองอะครับ
ผมใช้ Sharp มาได้ 4-5 ปีแล้วครับ ผมซื้อให้หลาน หลานผมแพ้อากาศ พอติดแล้วอาการดีขึ้น ราคาสมัยนั้นก็ตกราว 1 หมื่นบาทได้ครับ
By: torsuriya
Since: 4 ส.ค. 55 09:26:47
สมัยนี้ก็ยังหมื่นครับ 5 5 5 แต่จะมีรุ่นทำควมชื้นด้วยครับ
By: sonic
Since: 4 ส.ค. 55 09:45:57
ว่าแต่ไช้ขนาดไหนดีครับ^^
By: nolas24
Since: 4 ส.ค. 55 10:02:28
มันมีบอกขนาดใช้อยู่แล้วครับ หรือไปบอกใช้กับขนาดห้องได้เลยครับ เดี๋ยวเค้าจัดให้
By: torsuriya
Since: 4 ส.ค. 55 12:34:28
เครื่องฟอกแบบไม่ทำความชื้น ราคาก็เกือบหมื่นครับ สำหรับห้องขนาดประมาณนี้
แต่ถ้าเป็น ion generator ล้วนๆโดยเฉพาะเลย ไม่ฟอก น่าจะไม่ต่ำกว่าหมื่น
By: Avexiouz
Since: 6 ส.ค. 55 13:09:43
คือมันอยู่ที่ขนาดของตัวเครื่องด้วยอ่ะครับ ว่าแต่ คุณ nolas24
เน้นฟอกอากาศเพื่อจุดประสงค์อะไรครับ
กำจัดกลิ่น? กรองเชื้อโรค? กรองหวัดนกครับ? มันมีหลายแบบครับเลยทำให้ราคามันต่างกันออกไป
ผมส่งข้อมูลไปทางหลังไมค์แล้วนะครับ ในนั้นจะบอกถึงเรื่องขนาดของห้องด้วยว่ารุ่นไหนยี่ห้อไหนเหมาะกับห้องขนาดเท่าไหร่ด้วยคับ เอามาแชร์กันครับ
คือเหมือนผมตอนแรกเลยคับที่งงว่ามันต่างกันยังไง ผมเลยเอาที่ผมเคยหาไว้มาฝากคร่าวๆนะครับ
ผมบอกก่อนนะครับผมใช้ของ bios life Air อ่ะครับ เพราะมันเป็นตัวที่ราคาถูกที่สุดที่ได้ American Lung Association (ก็คือ สมาคมโรคปอดแหงสหรัฐอเมริกา) คับ
ซึ่ง ยี่ห้อที่ได้ ก็จะมี Honeywell กับ bios life Air สองตัวนี้เท่านั้นที่ผมรู้อ่ะครับที่ได้
ส่วนยี่ห้ออื่นๆ ก็เป็นรางวัล นวัตกรรมประดิษฐ์ที่มอบกันในประเทศเค้าเองอะครับ
ในส่วนที่ผมหาความรู้มาตอนที่ประกอบการตัดสินใจในตอนนั้นผมขอเอามาแชร์ละกันนะครับ
คือเครื่องฟอกอากาศมันสำคัญที่แผ่นกรองหรือตัวกรองอากาศอ่ะครับ
ที่ผมรู้จักหลักๆมันจะมี 5 แบบอ่ะครับ
1. HEPA ย่อมาจาก High Efficiency Particulate Air (HEPA)
มันคือการเกิดจากการนำวัตถุดิบที่เรียกว่า Borosilicate Microfiber มาขึ้นรูปเป็นแผ่น ซึ่งมันก็คือ Fiber Glass ด้วยเทคนิคระหว่างกระบวนการผลิตทำให้ HEPA Filter มีความสามารถที่จะดักจับฝุ่นละอองต่างๆ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม HEPA Filter ไม่สามารถกักเก็บก๊าซหรือสาร VOCs ต่างๆได้เนื่องจากขนาดที่เล็กกว่ามาก
***แต่ข้อเสียของมันคือการที่มาจาก Fiber Glass ซึ่งดูดจับความชื้นอาจจะทำให้เป็นเชื้อราได้แล้วถ้าสูดดมเข้าไปก็เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งคับ
2. ULPA ย่อมากจาก Ultra Low Penetration Air
สำหรับ ULPA ก็จะเป็นลักษณะเดียวกับ HEPA ครับ แต่ว่าจะมีคุณสมบัติของมันจะเหนือกว่าตรงที่กรองอนุภาคฝุ่นได้เล็กกว่า แต่ก็ราคาสูงกว่ามากครับและตันเร็วมากเช่นกัน
3.ระบบประจุไฟฟ้าสถิตย์ (Electrostatic)
เป็นระบบการฟอกที่ใช้หลักการทำงานด้วยการเติมประจุไฟฟ้าบวกหรือประจุไฟฟ้าลบ (ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละยี่ห้อ) ให้กับฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆ เมื่ออนุภาคเหล่านี้ไหลผ่านแผ่นกรองที่มีประจุไฟฟ้าลบ (ประจุไฟฟ้าที่แผ่นกรองจะเป็นประจุไฟฟ้าที่ตรงข้ามกับประจุไฟฟ้าที่สร้างในอากาศ) ก็จะถูกดูดให้ติดกับแผ่นกรอง ประสิทธิภาพในการกรองสูงสุดประมาณ 95%
ข้อเสียของระบบประจุไฟฟ้าสถิตย์
– ประสิทธิภาพการดักจับอนุภาคต่างๆ น้อยกว่าแผ่นกรอง HEPA และ ULPA
– เป็นระบบที่ทำหน้าที่เพียงกรองฝุ่นละออง กลิ่น และเชื้อราบางชนิด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีแผ่นกรองชนิดที่สามารถกรองเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา คอยทำหน้าที่ร่วมกันภายในเครื่องฟอกอากาศ
4.แผ่นกรอง Carbon
ตัวนี้จะมาช่วยเสริม คุณสมบัติของ 2 แผ่นแรกอ่ะครับ ช่วยในการกำจัดกลิ่นครับ
5.แผ่นกรองฟิลทรีท
เป็นแผ่นกรองอากาศของ 3M กรองด้วยแผ่นกรองที่ผ่านการชาร์ทไฟฟ้าสถิตย์แบบถาวร กรองอนุภาคได้เล็กถึง 0.1 ไมครอนกรองสิ่งสกปรกในอากาศได้ดีกว่าแผ่นกรอง HEPA และ ULPA ทั่วไป อีกทั้งยังสามารถกรอง ฝุ่นเล็กๆ ภายในห้อง, รังแคสัตว์, เชื้อแบคทีเรีย, ควันบุหรี่ และควันจากการปรุงอาหาร, อนุภาคที่จับกลุ่ม และไวรัส
มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศสูงคับ
หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ
อ่อ ผมมี ตารางเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของแต่ละยี่ห้อด้วยครับ
ถ้าเอามาโพสในนี้ คงโดนลบอมยิ้ม
ผมหลังไมค์ไปหาแล้วนะครับ h2o-nono@hotmail.com
By: h2o-nono
Since: 17 ส.ค. 55 11:51:46