มีเงินเท่านี้ ควรจะซื้อบ้านเท่าไร? คำถามยอดฮิตที่ได้ยินกันบ่อยๆ

มีเงินเท่านี้ควรจะซื้อบ้านเท่าไร? ผมอยากเขียนเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที วันนี้ได้โอกาสมาปัดฝุ่นคอลัมน์การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็เลยอยากจะแบ่งปันความเห็นให้กับทุกๆคนหน่อยครับ
หลายๆคนนั้นคิดว่าเราควรจะซื้อบ้านจัดเต็มกำลังเนื่องจาก “บ้าน” ตามคำโฆษณาทางทีวีและจากความเชื่อที่สั่งสอนกันมาหลายๆรุ่น บอกว่าบ้านเป็น “รางวัลของชีวิต” เป็น “สิ่งล้ำค่าที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ” เป็น “สินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดของชีวิต”
จริงๆน่ะหรือ?
บทความจาก http://thinkofliving.com/2012/09/10/นกน้อยทำรังแต่พอตัว/

By: Ivalice
Since: 10 ก.ย. 55 15:18:18

78 thoughts on “มีเงินเท่านี้ ควรจะซื้อบ้านเท่าไร? คำถามยอดฮิตที่ได้ยินกันบ่อยๆ

  1. admin Post author

    หลายๆคนรวมถึงผมเมื่อปลายปีก่อนด้วย เข้าใจตลอดมาว่า “บ้านที่เราอยู่” นั้นเป็น “ทรัพย์สิน” เพราะว่ามันสามารถสร้างมูลค่าให้กับตัวเองได้ สามารถขายได้ สามารถทำให้เราร่ำรวยขึ้นได้ จนผมได้ศึกษาเรื่องอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังและเกิดความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆกลับพบว่า จริงๆแล้วบ้านไม่ใช่ทรัพย์สินนะ แต่บ้านเป็น “หนี้สิน” ก้อนมหึมาของชีวิต หนี้สินที่บีบบังคับให้เราทำงานหาเงิน เอาเงินเดือนส่วนใหญ่ไปเลี้ยงดอกเบี้ยสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้นายธนาคารที่เก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากการผ่อนบ้านของเราไปอีก 20-30 ปี ตลอดจน “หนี้สิน” ที่จะทำให้เราฟุ้งเฟ้อใช้จ่ายมากขึ้นอีก

    หากเป็นสมัยที่เราเช่าหอพักหรือเช่าบ้านอยู่ เราก็คงจะไม่มีความต้องการที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านในราคาแพงสักเท่าไร ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบพอใช้ได้ แอร์ก็แล้วแต่บ้านเช่าว่าจะมีให้หรือเปล่า ทีวี ตู้เย็น ตลอดจนหลายสิ่งหลายอย่างเราก็เลือกเฉพาะสิ่งที่เราคิดว่าได้ใช้และจำเป็นสำหรับเรา

    แต่ทันทีที่เรามีบ้านซึ่งในที่นี้รวมถึงคอนโดมิเนียมด้วย เราก็ต้องตัดเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ประจำของเราไปใช้ในการ “ผ่อนบ้าน” ซึ่งอาจจะสูงถึง 40-50% ของรายได้ที่เรามี ตลอดจนเสียค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดและดูแลบ้าน เสียค่าส่วนกลางให้กับนิติบุคคลที่ดูแลบ้าน จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาไม่แพง เราก็จะไปเลือกเฟอร์ฯที่ทนทานหน่อย ดูสวยหน่อย เข้ากับสไตล์เราหน่อย เพื่อให้บ้านเราดูสวยงามมากขึ้น แต่งบ้านในสไตล์ที่ชอบ หาเครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆมาใช้ ทั้งหมดนี้เป็น “ค่าใช้จ่าย” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เรามีบ้าน

    By: Ivalice (Ivalice)
    Since: 10 ก.ย. 55 15:18:41

  2. admin Post author

    เท่านั้นยังไม่พอ การมี “บ้านราคาแพง” ยิ่งทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น คำว่า “แพงเท่าไร” น้ันขึ้นกับคนแต่ละคน บางคนบอกว่า 1 ล้านแพง, 3 ล้านแพง หรือ 10 ล้านแพง อันนี้ไม่เกี่ยวนะ เรายึดตามหลักความแพงของตัวเองนะครับ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนมีขีดจำกัดความแพงอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว หากเราไปอยู่ในหมู่บ้านที่เรียกว่า “บ้านราคาแพง” เพื่อสะท้อนฐานะของผู้ซื้อ “มอบรางวัลให้กับชีวิต” ตามคำโฆษณาขายบ้านที่เขาชอบใช้กัน รอบข้างเราหรือเพื่อนบ้านท้ังหลายนั้น จะล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีปัญญาซื้อของในราคาที่เราคิดว่าแพงทั้งสิ้น ดังนั้นทุกวันเราก็ต้องเห็นการใช้ชีวิตของพวกเขา ว่ามีรถดีๆขับ ใช้ของแบรนด์เนม ใช้กระเป๋าหรูๆ เพิ่มพูนฐานะอย่างไร

    ผมไม่ได้ระบุนะครับว่ารถดีๆคืออะไร อาจจะเป็น Toyota Altis, Mercedes Benz S Class หรือ Ferrari FF ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าความแพงของแต่ละคนคืออะไร เท่าไร อย่างไร แต่การที่เราเห็นเพื่อนบ้านของเรา ขับรถใช้ของดีๆในสิ่งที่เราไม่มีนั้น จะทำให้เราเกิดความ “อยากได้” ขึ้นมาอย่างชัดเจน หากเราอดรนทนไม่ไหวถูกกิเลสครอบงำ เราก็จะไปขวนขวายหาของเหล่านี้มาใช้เพื่อให้เรามีของสมฐานะเทียบเคียงกับเพื่อนบ้าน และนั่นก็จะตามมาด้วยการก่อหนี้ที่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    By: Ivalice (Ivalice)
    Since: 10 ก.ย. 55 15:19:07

  3. admin Post author

    หากเรามีเงินเท่านี้ เราควรจะซื้อบ้านในราคาเท่าไร ? เป็นคำถามที่หลายๆคนต้องการคำตอบ และผมก็มักจะได้ยินบ่อยๆ
    คนส่วนหนึ่งใช้ “นายธนาคาร” เป็นคำตอบ ว่าถ้าคุณมีเงินเดือน 30,000 บาทนะ จะกู้ได้สูงสุดที่วงเงิน 2 ล้านบาท ผ่อน 20-30 ปี ซึ่งเป็นคำตอบของ “การเป็นหนี้สูงสุด” ที่คนๆหนึ่งจะสามารถทำได้ ซึ่งแน่นอน คำตอบนี้เป็นที่ “โดนใจ” ของทั้งนายธนาคารและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จะได้กำไรก้อนเบ้อเร่อจาก เงินในอนาคตของพวกคุณ ดังนั้นคำตอบนี้จึงเป็นคำตอบที่ “แพร่หลายมากที่สุด” และ “ได้รับการโฆษณามากที่สุด” อย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนพยายามจะให้คุณกู้ได้มากที่สุด เป็นหนี้มากที่สุด เพื่อเขาจะได้ดอกเบี้ยสูงสุดและขายบ้านได้ในราคาแพงที่สุด
    หลายคนรวมถึงตัวผมในอดีตด้วย จะเถียงผมในปัจจุบันว่า “บ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น” เป็น “การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต” เชียวนะ ทำไมเราไม่ควรซื้อในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเรา เมื่อมูลค่ามันเพิ่มขึ้น เราก็สามารถ “ขายทำกำไรได้ด้วยนะ”
    ผมในปัจจุบันจึงตอบกลับไปว่า “แล้วคุณคิดจะขายบ้านหลังนี้ไหม?” ขายเอากำไรแล้วกลับไปอยู่ห้องเช่าอย่างเดิม คุณจะทำไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” นั่นก็ผิดแล้ว หรือถ้าคำตอบคือ “ใช่” แต่จะขายก็เพื่อต้องการไปซื้อบ้านที่ใหญ่กว่า ขยับขยายไปอยู่ในที่อยู่ที่ดีกว่าก็ไม่ถูกอีก คุณก็ต้องเป็น “หนี้” ใหม่ เพิ่มหนี้สินก้อนใหญ่ให้กับชีวิตอีกก้อน เอาเงินกูและกำไรตรงนี้ไปแปะเงินกู้ตรงนั้น จ่ายดอกเบี้ยให้กับนายธนาคารและจ่ายกำไรให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในมูลค่าที่สูงขึ้น เข้าสู่วงจรเป็นหนี้อีกตามเคย และคุณก็จะได้รับคำชมเชยว่า “เป็นลูกค้าที่ดีและมีความสำคัญที่สุด” ของทั้งนายธนาคารและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
    “ที่อยู่อาศัย” เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิต เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ ดังนั้น “บ้านหลังที่เราอยู่” จึงเป็นสิ่งที่เราใช้ เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่สามารถ “ขาย” ได้ โดยที่ไม่คิดจะไปหา “ที่อยู่ใหม่” ต่างกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในบ้านหลังที่ 2-3-4-5 … อย่างสิ้นเชิง ที่ได้ทั้ง “ค่าเช่า” จากการที่ปล่อยสินทรัพย์ของเราให้ไปหาเงินมาให้เรา และในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะขายออกไปโดยไม่ส่งผลกระทบใดๆกับชีวิตเราทั้งสิ้น
    หนี้จากบ้านหลังหนึ่งเราควรจะแบกได้ด้วยตัวคนเดียว หรือครอบครัวเดียว ใช้เงินส่วนหนึ่งที่เราหามาได้นั้นจ่ายออกไป โดยให้คิดเหมือนว่าเรากำลัง “เช่าบ้าน” หลังนี้อยู่ไปจนตาย เพราะเราไม่คิดว่าจะ “ขาย” แล้วไปอยู่ในบ้านหลังที่เล็กลง กระจอกลงหรือถูกลง เพื่อทำ “กำไร”

    By: Ivalice (Ivalice)
    Since: 10 ก.ย. 55 15:19:35

  4. admin Post author

    ถ้าอย่างนั้น ก็วกกลับมาอีกว่า เราควรจะซื้อ “บ้าน” ที่ราคาไม่เกินเท่าไร หากเรามีรายได้เท่านี้
    ผมคงจะไม่สามารถฟันธงได้ แต่ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งมากๆ นั่นก็คือ The Millionaire Next Door ของ Thomas J. Stanley ที่เขียนถึงเรื่องการใช้ชีวิตของเศรษฐีและการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต ที่ขายดีและโด่งดังที่สุดเล่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกา … หนังสือเล่มนั้นเขียนไว้อย่างนี้ครับ
    “If you’re not wealthy but want to be someday, never purchase a home that requires a mortgage that is more than twice your household’s total annual realized income.”
    แปลว่า
    “ถ้าคุณยังไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งในสักวันหนึ่ง อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี”
    นกน้อยทำรังแต่พอตัวครับ
    บทความจาก http://thinkofliving.com/2012/09/10/นกน้อยทำรังแต่พอตัว/

    By: Ivalice (Ivalice)
    Since: 10 ก.ย. 55 15:20:10

  5. admin Post author

    คนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีเงินมีทอง จะพูดยังไงก็ได้คนเชื่อหมด

    แต่คนจนๆ อยากมี อยากได้ ก็ต้องผ่อนเอา

    จะมีสักกี่คนที่ซื้อบ้าน หรือ รถ เงินสด  มีก็ไม่ถึง 10 %

    By: อากู๋ผ่านมา
    Since: 10 ก.ย. 55 16:19:48

  6. admin Post author

    ในความคิดผม ถ้าคนมาถามคำถามนี้กับผม ผมจะบอกไปว่า คุณยังไม่สมควรที่จะซื้อบ้าน เพราะคุณยังไม่รู้ความต้องการและความสามารถในการผ่อนของคุณเลยว่าไหวขนาดไหน แล้วพอใจขนาดไหน เชื่อเถอะครับ ความพอใจของเราและกำลังทรัพย์ที่เรามี ตัวเราเองรู้ดีอยู่แก่ใจ จะไปถามคนอื่นทำไม เพียงแต่ว่าอย่าหลอกตัวเองและคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกัน

    By: peggo
    Since: 10 ก.ย. 55 16:27:00

  7. admin Post author

    เหลืออีกหน่อยครับ
    ขอเสริมอีกนิดนะครับ “บ้าน” ในที่นี้ ไม่รวม “อาคารพาณิชย์” หรือ “Home Office” ทำเลดี ที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเฟื่องฟูมากขึ้น เปิดร้านค้าได้และสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ด้วย … แบบนั้นต้องคิดอีกอย่างว่า ครึ่งหนึ่งของบ้านนี้ช่วยเราหาเงินเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ชั้นล่างที่ใช้ขายของเป็นทรัพย์สิน ชั้นบนที่เราอยู่อาศัยเป็นหนี้สินนะครับ
    และ 2 เท่าของเงินที่เราได้ทั้งปีนั้นก็คือ ถ้าปีหนึ่งเราหาเงินได้ 5 แสนบาท เราก็ไม่ควรจะกู้เงิน 1 ล้านบาท ที่เหลือควรใช้เงินสดจัดการให้หมดนะครับ

    By: Ivalice (Ivalice)
    Since: 10 ก.ย. 55 16:48:47

  8. admin Post author

    มีหลายคนเคยบอกเรา  ว่ารายได้เท่านี้  ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ๆ กว่านี้นะ
    ซื้อทำไมหลังเล็ก ๆ  -_-"

    เราไม่ได้ซื้อบ้านตามรายได้อ่ะ  เราซื้อตามความจำเป็นที่อยู่อาศัย

    บ้านที่เพียงพอแก่การอยู่อาศัยของคนในครอบครัว  และทุกคนมีความสุข
    บ้านที่เราสามารถผ่อนชำระได้  โดยไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ (จะผ่อนหมดใน3 ปีก่าแล้วค่ะ  ตอนนี้กะลังพยายามอยู่)
    บ้านที่สะดวกกะการเดินทางของเรา   ไม่ไกลจากที่ทำงานเกินไป
    บ้านที่ไม่ทำให้เราเหนื่อยและลำบากใจในการดูแลรักษา

    By: noo_pizza
    Since: 10 ก.ย. 55 16:55:22

  9. admin Post author

    อื่ม เราตัดสินใจถูกเหมือนกันนะ ที่ซื้อบ้านหลังปัจจุบัน ราคาไม่เกิน 2 เท่าของรายได้ต่อปี

    By: ChemKorat3
    Since: 10 ก.ย. 55 17:09:20

  10. admin Post author

    ขอชมกับแนวคิดของ Ivalice ว่านุ่ม ลึก เสียจริง
    เราเคยซื้อบ้าน 1 ล้านบาท ในขณะนั้นเรามีเงินสดๆแค่ 7,000 บ.
    ผ่อนดาวน์ 10 งวดๆละ 18,000 บ. ที่เหลือกู้แบงค์
    เงินเดือน 4,100 บ.คอมเดือนละ 4,000 บ. ค่าน้ำมันพร้อมค่าสึกหรออีก
    6,000 บ. เดือนๆยังหาไม่ครบเลยสุดท้ายก็ต้องขอเงินแฟนมาโป๊ะ
    เหนื่อยสุดๆ เฟอร์ ก็ค่อยๆซื้อ แอร์กว่าจะติดได้ รอ 2 ปี ราคาตอนนั้น 3 หมื่นกว่าๆ 20 ปีที่แล้ว
    20 ปีผ่านมาก็ยังผ่อนบ้านอยู่แต่หลังใหญ่กว่าเดิม แถมคราวนี้ซื้อ 2.5 ล้าน
    เพิ่มมากกว่าเดิม นี่ก็กะว่าอีก 12 ปี จะผ่อนหมด
    จะด้วยว่ามีโชค หรือ เวรกรรมก็ไม่รู้ ผ่อนบ้านไม่หมดสักที
    ชีวิตผ่านมาผ่อนบ้านตลอด ถามว่าเหนื่อยมั๊ย ถ้าไม่คิดมากก็พอทนนะ
    หลังแรกเสียดอกแบงต์น้ำเงิน แพงมาก เกือบ 8 แสน ( 10 ปี )
    หลังนี้เสียดอกไป ณ ตอนนี้ 10 ปี เกือบ 4 แสนเอง (คนละแบงค์ แถมยอดกู้มากกว่าแบงค์ ออม )
    ลงทุนเลี้ยงลูก คุ้มกว่าเยอะ สบายใจกว่าด้วย จริงมั๊ยคะ ท่านทั้งหลาย

    By: เพื่อลูก
    Since: 10 ก.ย. 55 20:07:44

  11. admin Post author

    ไม่เห็นด้วยครับ สำหรับผม บ้านเป็นทั้งที่อยูุ่อาศัยและหารายได้ด้วยอีกทาง (ผมทำธุรกิจที่บ้านเป็นรายได้เพิ่มเติม เพราะถ้าผมไม่ซื้อ ผมก็ต้องเสียค่าเช่าให้คนอื่นเขาอยู่ดี)

    By: TT /at/ BKK
    Since: 10 ก.ย. 55 20:44:02

  12. admin Post author

    ^ เราว่าที่จขกท พูดถึงไม่ได้หมายความว่า ไม่ควรซื้อบ้านนะคะ

    ตามความเห็นเรา (และไม่รู้ว่าจขกทเห็นด้วยมั้ย) ถ้ายังไม่มีบ้านหลังแรกยังไงถ้าพอมีเงินก็ควรจะซื้อบ้านซึ่งดีกว่าการเช่าไปวันๆ อยู่แล้ว (ยกเว้นว่าใครมีเหตุจำเป็นต้องย้ายบ่อยๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่อาจจะไม่ควรซื้อบ้านก็อีกเรื่องหนึ่ง) แต่ต้องคำนึงถึง budget ด้วยว่าไม่ควรจะเกินเท่านั้นเท่านี้ เพราะอย่าลืม ซื้อบ้านไม่ใช่แค่ได้บ้าน แต่สิ่งที่ตามมายังมีค่าเฟอร์ ค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า กำจัดปลวก ภาษีบ้าน ซ่อมแซมบ้าน และค่าสังคมเพ่อนบ้าน

    ที่จขกทต้องการสื่อน่าจะหมายถึงให้เราคำนึงว่า "ราคา" ของบ้านที่ควรจะซื้อเท่าไหร่ ไม่ควรสุดมือ ทุ่มทุนมากเกิน โดยเฉพาะคนที่มีความคิดว่า ซื้อๆบ้านไป มูลค่าเอาให้มากที่สุด แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นภาระผ่อนแล้วผ่อนอีก ผูกตัวเองไปไหนไม่ได้ แล้วพอคิดถึงค่าดอกเบี้ยก็มากมายมหาศาล

    คุณ TT@BKK ใช้บ้านหารายได้ด้วยก็เลยไม่น่าจะตกอยู่ในประเภทซื้อบ้านแบบไม่คิดนะคะ เพราะคุณคิดแล้วว่าซื้อแล้วคุ้มค่ะ ^^  

    เราเองก็อยากมีบ้านที่ทำมาค้าขายไปด้วย อยู่ไปด้วย คงเวิร์คมากๆค่ะ

    By: Jazzio
    Since: 10 ก.ย. 55 20:52:12

  13. admin Post author

    เคยได้ยินธนาคารบอกว่า ควรจะซื้อประมาณ 65 เท่าของเงินเดือน

    ซึ่งจะทำให้เราผ่อนแค่ 30 % จะได้ไม่อึกอัดในระยะยาว

    By: ผู้เฒ่าสายลม
    Since: 10 ก.ย. 55 21:17:57

  14. admin Post author

    เราเข้าใจที่คุณสื่อนะ….

    …อย่าเกินกำลังตัวเอง…  

    กู้เต็มๆๆๆ แล้วก็ไปไม่รอด  เห็นมาเยอะแล้ว

    By: Petite Elisa
    Since: 10 ก.ย. 55 22:34:34

  15. admin Post author

    เห็นด้วยครับ นกน้อย ทำรังแต่พอตัว

    หลังนี้ผมก็กู้ประมาณ 1.5 เท่าของรายได้ต่อปีครับ

    By: bombbali
    Since: 10 ก.ย. 55 23:14:33

  16. admin Post author

    ปัญหาที่ทุกคนเจอในตอนนี้คือ ราคาบ้านมันสูงเกินจริงมากๆ หลังนึงเอากำไรกัน50%
    แล้วระบบขนส่งมวลชนก็ไม่ดี จะหาซื้อบ้านชานเมืองที่ไกลที่ทำงานกับโรงเรียนลูกก็ไม่ได้
    คอนโดก็เล็กและแพง  มันเลยต้องกัดฟันแบกเงินกู้กันหลังแอ่นแบบนี้อะครับ

    By: doctorpond
    Since: 11 ก.ย. 55 00:26:24

  17. admin Post author

    เคยอ่านหนังสือ อาจารย์ท่านบอกว่า สร้างให้เกินฐานะในขณะนั้นสักเล็กน้อยเพราะเมื่อเวลาผ่านไป 10-20 ปี ฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่การงานใหญ่โตขึ้นก็จะพอดีกันครับ

    By: โย่ง
    Since: 11 ก.ย. 55 00:27:45

  18. admin Post author

    ผมคนนึงแหล่ะไม่คิดซื้อย้าน แต่จะเก็บตังปลูกบ้านเอง

    By: ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน (ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน)
    Since: 11 ก.ย. 55 00:58:48

  19. admin Post author

    เห็นด้วยที่ว่า นกน้อยทำรังแต่พอตัว
    แต่สำหรับผมแล้ว จะทำรังแต่พอตัวคงไม่ได้
    เพราะว่าผมต้องการสิ่งที่ดีให้กับครอบครับ
    พ่อ แม่ ลูก ภรรยา
    ดังนั้นถึงแม้ผมจะเป็นนกน้อยแต่รังต้องใหญ่กว่าตัวสักหน่อย
    ยอมเป็นหนี้ก้อนโตครับ^^

    By: เอ็นริโก้พุชชี่
    Since: 11 ก.ย. 55 07:29:32

  20. admin Post author

    เห็นด้วยค่ะ
    ตอนนี้ปลดหนี้แล้ว ชีวีเป็นสุขมากๆ

    By: ปริศนาไขกระจ่างแล้ว
    Since: 11 ก.ย. 55 08:11:38

  21. admin Post author

    แล้วซื้อบ้านเงินสดละคะ เรากำลังซื้อบ้านเงินสด ราคา  2,500,000

    มีแต่คนถามว่า รีบซื้อทำไม เก็บเงินไว้ก่อนดีกว่า
    ทำไมไม่กู้ เสียดายเงินสด เก็บไว้ลงทุนดีกว่า
    บ้านหลังเล็กนิดเดียว คับแคบ (ตอนที่ตัดสินใจซื้อ เราคิดว่าต้องเติมห้องเพิ่มอยู่แล้ว)

    ตอนนี้บ้านสร้างใกล้เสร็จแล้ว เรามานั่งทบทวนว่าเราคิดผิดมั้ยที่ซื้อบ้านหลังนี้ คิดจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว
    ไหนจะค่าต่อเติม ค่าเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน ตกแต่งบ้าน บานไปอีกเยอะ ซึ่งตอนนี้เรายังไม่มี

    ตอนนี้เราไม่ได้เดือดร้อนที่อยู่อาศัย เราอาศัยอยู่บ้านพ่อแม่สามี กว้างขวางกว่าบ้านที่เราซื้อใหม่
    กลุ้มใจจังค่ะ

    By: sasirats (sasirats)
    Since: 11 ก.ย. 55 08:51:32

  22. admin Post author

    ต่างประเทศ (ที่เจริญแล้ว) ไม่เหมือนประเทศไทยครับ (ขอพูดเฉพาะกรุงเทพก็แล้วกัน)

    ต่างประเทศ เศรษฐกิจขยายตัวช้า (เพราะเจริญแล้ว) เงินเฟ้อช้า ราคาบ้านขึ้นช้า เขตเมืองอิ่มตัว ไม่มีคนไหลเข้ามาเพิ่ม

    ประเทศไทย (กทม) เศรษฐกิจขยายตัวเร็ว (ถ้าเทียบกับประเทศเจริญแล้ว) เงินเฟ้อเร็ว ราคาบ้านพุ่งขึ้นทุกปี เขตเมืองมีแต่จะใหญ่ขึ้น แน่นขึ้น เพราะคนไหลเข้าเมืองจากชนบท

    ต่างประเทศ การซื้อบ้านคือการซื้อบ้าน เพื่ออยู่อาศัย

    ประเทศไทย การซื้อบ้าน มันกึ่งๆ การลงทุน และการออมไปในตัว

    ถ้าคุณรอจนกว่าจะเก็บเงินได้ครบเพื่อที่จะซื้อบ้าน ผมเชื่อว่าราคาบ้านในเขตเมือง มันคงจะแซงเงินที่คุณสามารถเก็บได้ (ถึงแม้ว่าจะคิดเผื่อดอกเบี้ยที่สามารถประหยัดได้จากการซื้อเงินสดก็ตาม)

    ดังนั้นตำราของฝรั่ง อ่านเอาแนวคิดได้ แต่อย่าลืมว่าบริบทมันต่างกัน

    By: rp
    Since: 11 ก.ย. 55 08:58:58

  23. admin Post author

    จริงๆมุมมองหลายๆคนก็ต่างกันไปนะครับ
    บางคนคิดว่าตอนนี้เงินเดือน 30000 กู้ได้สูงสุด 2 ล้าน
    ผ่านไป 10 ปี เค้าอาจจะมีเงินเดือนเป็น 70000 เงินกู้ที่ส่งก็เิริ่มลดลงแล้ว

    แต่อย่างว่าล่ะครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต…..

    By: kl_sn (kl_sn)
    Since: 11 ก.ย. 55 09:22:03

  24. admin Post author

    โดยรวมเห็นด้วยเรื่องการประเมินตนเอง และเลือกให้เหมาะสมครับ
    แต่สงสัยว่า ราคาบ้านเทียบกับรายได้ในอเมริกาน่าจะต่ำกว่าในไทยไหมครับ

    เคยได้ยินคนแนะนำว่าจะซื้อรถไม่ควรมีราคาเกินรายได้ 1 ปี และบ้านไม่ควรเกิน 5 ปี (ราคานะครับ ไม่ใช่ยอดกู้) สำหรับคนปกติที่ไม่ได้มีเงินเก็บหรือมรดกมากมาย

    ส่วนราคา ก็ขึ้นกับรูปแบบการใช้ชีวิตด้วย บางคนชอบอยู่บ้านพักผ่อน ก็เลือกแบบบ้านที่อยู่แล้วมีความสุข สบาย อาจจะราคาสูงกว่าหน่อย แต่เขาไม่ได้ออกไปใช้เงินข้างนอกบ้าน ถ้าเทียบกับอีกคน ที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ไปเที่ยว ปาร์ตี้ (หรือทำงาน) ก็อาจจะซื้อแบบไม่แพงมาก เพราะมีค่าใช้จ่ายอื่นเยอะ แต่ที่เห็น พวกไม่ค่อยอยู่บ้าน จะซื้อรถแพง เผลอๆ แพงกว่าบ้านด้วยซ้ำ

    ส่วนตัว คงซื้อบ้านราคาสูงหน่อย ส่วนรถ ยังไงก็ได้
    และถ้าไม่คิดว่าจะย้าย หรือขาย ไม่ต้องไปกังวลเรื่องราคาในอนาคตจะสูงขึ้นไหม คิดแค่อยู่แล้วสบายใจ คุ้มกับเงินและค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็พอครับ

    By: nanhan
    Since: 11 ก.ย. 55 09:26:02

  25. admin Post author

    #26 ที่ดินคือคำตอบครับ เพราะบ้านมีค่าเสื่อมราคาที่สูงใช้ได้ บ้านเก่าไปราคาตกลงเยอะ
    บ้านจัดสรร แพงเวอร์ พอดีผมทำก่อสร้างหน่ะครับ

    By: ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน
    Since: 11 ก.ย. 55 10:07:05

  26. admin Post author

    ซื้อไปก็เป็นของเราครับ อย่าคิดมาก เอาแค่ไม่ทำให้เราลำบากก็พอ อยู่บ้านเราเอง ความรู้สึกมันต่างกันกับอยู่บ้านเช่าเยอะครับ

    By: TKK newbie
    Since: 11 ก.ย. 55 10:34:21

  27. admin Post author

    "ถ้าคุณยังไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งในสักวันหนึ่ง อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี"

    อย่างสมมุติว่า ถ้ามีรายได้ปีละ 361,000 บาท (รายได้เฉลี่ยของคน กทม. ปี 53)

    2 เท่าก็คือ 722,000 บาท…

    ถามว่าเงินแค่นี้จะซื้อบ้านแบบไหนใน กทม. ได้บ้างครับเนี่ย….

    บ้านดี บ้านถูก ใครก็อยากซื้อทั้งนั้น ไม่ใครอยากจะเป็นหนี้เยอะหรอกครับ แต่ถ้าไปซื้อถูกมากๆ แล้วเป็นอย่างกระทู้แนะนำแล้วจะทำไงล่ะครับ

    By: ติดโปร (seasonner)
    Since: 11 ก.ย. 55 10:51:36

  28. admin Post author

    เป็นมุมมองและแนวคิดที่ดีครับ บ้านของผมก็ใช้เงินที่หามาได้ภายใน 2 ปี ไม่เกินวงเงินจำนวนนี้

    แต่อยากจะบอกว่า การหาเงินภายใน 2 ปีแล้วสามารถซื้อบ้านที่จะอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิตได้หลังนึง ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และมีไม่กี่คนที่จะทำได้นะครับ มีคนแบบนี้ไม่น่าเกิน 1% ซะด้วยซ้ำ

    By: บ้านฉัน
    Since: 11 ก.ย. 55 11:00:26

  29. admin Post author

    ราคาบ้าน = ราคาที่ดิน + ราคาก่อสร้าง

    ว่าตรงๆ ก็คือ ราคาที่ดินในเขตเมืองเพิ่มขึ้นทุกวัน
    แม้กระทั่งในชนบท ผมเคยซื้อที่นา มาในราคา ไร่ละ 2 แสน
    ผ่านไปปีกว่าๆ ผมก็ขายในราคา  3 แสน
    จากวันที่ผมขาย ผ่านไป 3 ปี ตอนนี้ซื้อขายกันที่ 9 แสนแล้ว
    ยิ่งมีการตัดถนนผ่าน ต่อไปก็คงเป็นล้าน
    ตอนนี้ได้แต่เสียดาย ว่าไม่น่าจะขาย

    พอจะขายบ้านอีกหลังก็สองจิตสองใจ ว่า
    ขายไปตอนนี้ราคามันก็คงขึ้นอีก

    —————————–

    10 ปีที่แล้ว ผมผ่อนบ้าน เหลือเงินเดือนแค่ 8,000 บาท ผมก็อยู่ได้
    แต่ตอนนี้เงินเดือนเหลือเยอะกว่าเดิม กลับไม่พอใช้

     ข้าวเคยกินจานละ  15  ก็เป็น 30
     ข้าวสารเคยซื้อถุงละ 80-90 ก็เป็น  160
     ไข่ ฟองละ 2 บาท  ก็เป็น  3-4 บาท

    By: webkit
    Since: 11 ก.ย. 55 11:10:59

  30. admin Post author

    เงินเดือนคนไทยมันยังแสนถูก
    จะให้ซื้อบ้านเหมือนฝรั่งได้ยังไงไม่ทราบ

    By: Vancin
    Since: 11 ก.ย. 55 11:20:04

  31. admin Post author

    ส่วนเราก็คงคิดน้อยมังคะ

    คิดแต่ว่าดอกเบี้ยที่จ่ายไปเดือนละหลายๆหมื่น เป็นค่าเช่าบ้านล่ะกัน

    บ้านที่อยู่กันอย่างมีความสุข อากาศดี สุขภาพกายและใจดี ไม่เครียด เด็กๆๆมีที่วิ่งเล่นรอบบ้าน มีสระว่ายน้ำให้ไปออกกำลังกายทุกเช้า

    บ้านที่ใช้เป็นออฟฟิศ ทำมาหากินได้อย่างเต็มที่ โดยไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

    ไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหนๆๆ เพราะบ้านเราสวยและน่าอยู่กว่ารีสอร์ทหรือโรงแรมหลายๆๆที่

    ตื่นแต่เช้าก็มีเสียงนกมาปลุกข้างหน้าต่างห้องนอน ดูนกมาจิบน้ำในบ่อบัว ได้ยินเสียงนกร้องทั้งวัน

    ด้านหลังบ้านมีคลองน้ำใส แพะเล็มหญ้า

    By: บ้านริมคลอง
    Since: 11 ก.ย. 55 11:26:45

  32. admin Post author

    "นกน้อยทำรังแต่พอตัว"

    คนน่ะไม่ใช่นก

    อิอิอิ

    By: ชาวหลังสวน
    Since: 11 ก.ย. 55 11:38:59

  33. admin Post author

    นกน้อยทำรังแค่พอตัว

    ขอเสริมว่าทำรังเผื่อคนรักและลูกๆด้วยครับ

    By: [Radio Edit]
    Since: 11 ก.ย. 55 12:05:28

  34. admin Post author

    ผมว่าหลายคนยังไม่เข้าใจกับคำว่า

    บ้านเป็น “หนี้สิน” ก้อนมหึมาของชีวิต หนี้สินที่บีบบังคับให้เราทำงานหาเงิน เอาเงินเดือนส่วนใหญ่ไปเลี้ยงดอกเบี้ยสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้นายธนาคาร

    By: ดักคอยแล
    Since: 11 ก.ย. 55 12:20:30

  35. admin Post author

    ผมเคยชวนเพื่อนลงทุนทำธุรกิจด้วยกัน

    แต่เพื่อนมันเลือกเอาเงินออมไปดาวส์บ้าน แล้วทำงานบริษัทต่อไป

    ส่วนผมลาออก เอาเงินเก็บมาลงทุนทำธุรกิจ แล้วไปชวนเพื่อนอีกคนเป็นหุ้นส่วน

    ตอนนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ครับ แต่ฐานะแตกต่างกันมากครับ

    By: ดักคอยแล
    Since: 11 ก.ย. 55 12:31:32

  36. admin Post author

    คุณ คห.39 ผมว่าแทบทุกคนรู้หมดแหละครับ ว่ามันเป็นหนี้ก้อนใหญ่ และดอกเบี้ยที่เอาให้ธนาคาร มันก็เยอะมากๆ

    แต่ชีวิตคนแต่ละคนมันมีข้อจำกัดแตกต่างกัน เรื่องลงทุนทำธุรกิจ ก้ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ คนที่พอใจที่อยากจะเป็นลูกจ้าง ก็ไม่ใช่เป็นคนโง่ซะทุกคน แนวทางที่ดี ที่เหมาะกับคนๆนึง อาจใช้ไม่ได้เลยกับบางคน  บางคนแต่งงานแล้ว มีลูก มีภาระมากขึ้น ก็อาจไม่กล้าเสี่ยงที่จะเดินทางใหม่ๆ ก็ได้ครับ

    By: ติดโปร (seasonner)
    Since: 11 ก.ย. 55 12:48:31

  37. admin Post author

    บ้านราคาขึ้นน้อยกว่าีที่ดินพอควรนะ โดยเฉลี่ยแล้ว
    จากครอบครัวผมเอง ราคาบ้านยังมีตกลงด้วยซ้ำ เพราะซอยไม่โต ไม่ใกล้รถไฟฟ้านักแม้จะกลางเมือง สิ่งปลูกสร้างที่เก่าลง
    บ้านของครอบครัวหลังนึงเคยมีคนเสนอซื้อถึง5ล้านเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ประเมินๆม่น่าถึง4ล้านด้วยซ้ำ
    แต่ที่ดินที่เคยซื้อไว้แสนนึง สิบปีก่อน ตอนนี้คนขอซื้อล้านกว่า ยังไม่ขายเลย

    By: ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน
    Since: 11 ก.ย. 55 13:32:07

  38. admin Post author

    ไม่ได้หรอก ต้องบ้านใหญ่ๆหรูๆ พ่อแม่พี่น้องญาติมาดูจะได้ไม่อาย
    เพื่อนฝูงจะได้ดูว่ารวย โก้ หรู

    ลำบากวันนี้ จะสะบายในวันหน้า แต่ก็ไม่ใช่จะต้องอดๆยากๆลำบากเกิน

    ผมคิดอย่างนี้ คห.ส่วนตัวนะครับ

    By: ptboy
    Since: 11 ก.ย. 55 14:22:30

  39. admin Post author

    ก็เพราะถ้าหากรอเก็บเงินเป็นก้อน เพื่อจะไปซื้อบ้าน กี่ปี จะได้อยู่
    ป่านโน้นนน มูลค่าของเงิน กับ มูลค่า ของบ้าน ในเวลานั้น ก็ไล่ตามกันไม่ทันแล้ว

    อีก สิบปีข้างหน้า เงินที่เราเก็บได้ ซัก สองล้าน คงไม่มีบ้าน ราคา สองล้านให้ซื้อแล้ว

    ส่วนเรื่องของการผ่อนบ้าน แน่นอนค่ะ ว่าถ้าหากผ่อนตามสัญญา 30 มูลค่าดอกเบี้ย ก็จะสูงท่วมบ้าน จนสามารถซื้อบ้านได้อีกหลัง …

    แต่ธนาคารเค้าก็มี การ refinance เพื่อให้สามารถ ปรับดอกเบี้ย ให้ลดลงเพื่อให้เราสามารถ จ่ายต้นได้มากขึ้น และ จ่ายดอกให้น้อยลง

    ก็ตามอัตราความก้าวหน้าของเรา ซึ่งในความเป็นจริงๆแล้ว ไม่มีมนุษย์เงินเดือนคนไหน ที่ได้เงินเดือน เท่าเดิม ไป 30 ปีใช่ไม๊ค๊ะ …

    เมื่อความสามารถ ในการหารายได้ของเราเพิ่มขึ้น เราก็สามารถ จ่ายต้นได้มากขึ้น รวมๆดอกเบี้ย จะน้อยลง เมื่อเทียบกับการ ผ่อนตามสัญญา ….  

    จริงแล้ว การซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ซักหลัง มันก็เป็นการบังคับตัวเราเอง ให้มีวินัย ในการเก็บออมอย่างนึง
    เพื่อให้เรา มีเป้าหมายในชีวิต …. ซึ่งถ้ารอเก็บเงินได้แล้วค่อยซื้อ ก็คงบังคับตัวเองไม่ได้ เก็บมั่ง ไม่เก็บมั่ง

    ฉนั้น ซื้อไปเหอะค่ะ เช่าเค้าอยู่ บ้านก็ไม่ได้เป็นของเราซักที ถึงกู้เค้ามา แล้วต้องเสียดอกเบี้ยหน่อย แต่ก็มีความหวัง มีระยะเวลา ที่แน่นอน ว่าบ้านนั้นจะเป็นของเรา นะคะ

    By: ชาเขียวปั่นเพิ่มวิป
    Since: 11 ก.ย. 55 14:36:27

  40. admin Post author

    “If you’re not wealthy but want to be someday, never purchase a home that requires a mortgage that is more than twice your household’s total annual realized income.”

    แปลว่า

    “ถ้าคุณยังไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งในสักวันหนึ่ง อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี”

    ———————————————————–
    ผมเห็นต่างนิดนึงตรงนี้ครับ ข้อความดังกล่าวมาจากฝรั่ง ซึ่งเวลาเค้าคิดเค้าก็จะอิงจากข้อมูลพื้นฐาน
    ในประเทศเค้า โดยเฉพาะเรื่อง "ค่าแรง" ประเด็นนี้สำคัญมากครับ ค่าแรงโดยเฉลี่ยของชาว
    อเมริกันต่อวันมันเท่าไหร่ แล้วค่าแรงโดยเฉลี่ยของมนุษย์เงินเดือนบ้านเราเท่าไหร่

    สมมุติ  นาย ก. อายุ 30 เงินเดือน 30,000 บาท+โบนัสปีละ 90,000 บาท
    รวมทั้งปีรายได้(โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ) เท่ากับ 450,000 บาท 2 ปีก็ 900,000 บาท
    เงินเท่านี้แค่คอนโดในเมืองก็หาแทบไม่ได้แล้ว ส่วนถ้าบ้านนอกก็พอได้อยู่

    ผมเห็นว่าการคำนวนรายได้ที่พอดีสำหรับการซื้อบ้านของเมืองไทยนั้น โดยเฉพาะชาว กทมและเมืองใหญ่ๆ คงต้องมีวิธีการคำนวนใหม่ที่สอดคล้องกับรายได้ของคนไทยโดยเฉลี่ย …

    ผมไม่ได้สนับสนุนให้คนฟุ้งเฟ้อนะครับ ประเด็นของผมคือ การจะนำคำพูดฝรั่งเอาใช้ เอามาทำ คง
    ต้องมองบริบททางสัมคมให้สอดคล้องกันด้วยครับ …

    By: Dare More
    Since: 11 ก.ย. 55 16:18:18

  41. admin Post author

    รอถูกรางวัลที่ 1 ค่อยซื้อบ้าน จะได้ไม่เป็นหนี้เกินตัว

    By: Sylvan
    Since: 11 ก.ย. 55 17:16:21

  42. admin Post author

    เห็นด้วยกับ ความเห็นที่ 46 อย่างแรงค่ะ

    By: meaw (เหมี่ยวเงินงาม)
    Since: 11 ก.ย. 55 20:26:26

  43. admin Post author

    ขออภัยจริงๆ คิดไปคิดมาก็ไม่น่าพูดมาก ขอลบความเห็นครับ

    By: Vancin
    Since: 11 ก.ย. 55 22:49:20

  44. admin Post author

    เราซื้อรถเงินสด เพราะราคาครึ่งล้าน แต่บ้านนี่ยังไม่สามารถซื้อสดได้ T^T

    By: มิสพรหล้า
    Since: 11 ก.ย. 55 22:51:13

  45. admin Post author

    เมืองไทย สูตรเงินเดือน 2 หมื่น ต่อเงินกู้ 1ล้านบาท นั้นเหมาะสมดีแล้ว สูตรที่ให้มามันเหมาะกับสังคมฝรั่ง ลองไปเมืองนอกดูสิว่าค่าเช่าบ้านแพงแค่ไหน เคยเปิดบ้านเช่าให้คนไทยมาแชร์ตอนอยู่เมืองนอกตกวีคละ 140-150 เหรียญ / คน บ้านต้องอยู่ 10 คน

    สำหรับเมืองไทย แบบทุกวันนี้เหมาะสมดีแล้ว เพียงแค่ราคาบ้านขึ้นไวไปหน่อย

    By: Dior Homme
    Since: 11 ก.ย. 55 23:08:52

  46. admin Post author

    เช่าบ้าน 30 ปี ก็ไม่ใช่ของเรา อยากได้ก็ต้องผ่อน.  เอาคับ.  การผ่อนก็เป็นการบริหารเงินในรูปแบบหนึ่ง

    By: Loveliza14 (loveliza14)
    Since: 11 ก.ย. 55 23:43:08

  47. admin Post author

    ผมว่าประเด็นคืออย่ากู้ธนาคารให้ตึงมือจนเกินไปมากกว่า เห็นมีถามกันทุกวันว่า "ช่วยดูให้หน่อยว่ากู้ได้เท่าไหร่" อะไรพวกนี้ จขกท. เค้าคงไม่ได้แอนตี้อะไรหรอก เค้าแค่อยากชี้ว่ามันมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นในชีวิตอีก อย่าเอาให้เต็มแม๊กมากนัก ผมก็ชอบเตือนบ่อยๆ ว่ากู้ได้กับผ่อนได้มันคนละเรื่องกัน

    By: Avantasia
    Since: 12 ก.ย. 55 00:14:52

  48. admin Post author

    แล้วจะแก้ไขยังไงละ
    ไม่มีใครอยากเสียดอก
    ไม่มีใครอยากเป็นหนี้

    ธนาคารก็รวยเอาๆ

    By: pitera (PITERA)
    Since: 12 ก.ย. 55 13:12:18

  49. admin Post author

    ส่วนตัวตั้งแต่แรกมองว่า

    อยากได้บ้านพื้นที่เท่านี้ มีห้องเท่านั้น ให้เหมาะสมกับอนาคต จะราคาเท่าไหร่

    แล้วมาดูว่าจะผ่อนไหวมั้ย สบายๆรึเปล่า

    ไม่ได้มองว่าเงินเดือนเท่านี้กู้ได้เท่าไหร่ ….อยู่แล้วครับ

    By: ปอยยอย
    Since: 12 ก.ย. 55 16:26:47

  50. admin Post author

    ซื้อบ้านราคา4ล้าน8 ถ้ากู้มารวมดอกเบี้ยแบบผ่อน 30ปี

    ราคาบ้านที่เราซื้อมาจริงๆจากการกู้เงินธนาคารกลายเป็น 10ล้าน ดอกเบี้ยโหดมาก

    พอรู้ยอดดอกเบี้ยรู้สึกว่ามันแพงมากจริงๆ ธนาคารรวย

    โชคดีที่เราคิดจะซื้อเงินสด ไม่งั้นแอบเสียดายเล็กๆ

    By: yothint
    Since: 12 ก.ย. 55 17:30:22

  51. admin Post author

    ผมว่าที่เค้าถามว่าเงินเดือนเท่านี้กู้ได้เท่าไหร่นี่มันก็ถามรวมกับผ่อนได้เท่าไหร่อยู่แล้วล่ะมั้งครับ

    By: Avalance7
    Since: 12 ก.ย. 55 18:04:38

  52. admin Post author

    ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าคำนี้อีกแล้ว ดอกเบี้ย เงินที่แบงค์ปล่อยกู้ก็คือเงินของเศรษฐีที่ถือหุ้นอยู่นั่นแหละ นับวันโลกเราจะอยู่ลำบากมากขึ้นสำหรับชนชั้นกลางมนุษย์เงินเดือนลงมา..ดอกเบี้ยทุกวันนี้ราคาเท่าตัวของราคาบ้านไม่มีกลไกอะไรในโลกนี้เลยหรือที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงมาให้ผู้ด้อยโอกาสกว่าได้มีที่อยู่อาศัยกับเค้าบ้างโดยไม่ต้องปากกัดตีนถีบแบบทุกวันนี้ เศร้าใจอ่ะครับ..

    By: naytor
    Since: 13 ก.ย. 55 05:50:21

  53. admin Post author

    จากประสบการณ์ที่อยู่กับโครงการอสังหาฯและบ้านจัดสรรมาหลายปีเห็นมาเยอะครับ  ไม่เข้าใจเหมือนกันคนทีมาซื้อบ้านส่วนใหญ่ชอบจริงๆกับกู้เต็มหรือกู้เหลือ
    ซื้อบ้านเหมือนซื้อขนม  ขั้นตอนและดอกเบี้ยคิดยังไงยังไม่รู้เลย
    ไม่ค่อยเห็นแบบเทดาวน์สัก 30-50% ยอดผ่อนต่อเดือนมากกว่า 60%  ของรายได้อีก  
    โอนปั๊บบต่อเติมปั๊บ  เฟอร์จัดเต็ม  แถมเงินที่เหลือดาน์วรถป้ายแดง  ขึ้นบ้านใหม่อลังการณ์รถจอดเต็มซอย
    สักพักขายรถ แบ่งขายเฟอร์ นั่งมอไซด์รับจ้าง
    สักพักก็ย้ายออก  มีป้ายเจ้าของบ้านตัวจริงมาแปะขาย

    อย่าว่าเจ้าของกระทู้เลยครับ  เขาน่าจะสื่อว่าอย่ามีหนี้สินเกินกว่าที่ตัวเองจะสามารถจ่ายได้ก็เท่านั้น  
    สัดส่วนการเป็นหนี้แล้วแต่ละคนว่าจะเหมาะสมอยู่ที่เท่าไหร่  ไม่จำเป็นต้อง  sum  2 ปีก็ได้
    คุณลองคิดดุหากคุณต้องผ่อนบ้านตามอัตราขั้นต่ำเอาง่ายๆสัก  50-60% ไปเรื่อยๆสัก 20-30ปี  
    เพราะอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวจะวิ่งตามคุณไป  คุณจะไหวหรือเปล่า
    แต่สำหรับผม  ผมไม่ไหวแน่นอน  เลยใช้วิธีเก็บดาวน์  40%  ผ่อนขั้นต่ำ 3 ปี  แล้วโปะต่ออีก 4 ปี  ตอนนี้จบแล้ว  
    เพราะชีวิตผมไม่ได้มีแค่คำว่า  "บ้าน"  เพียงอย่างเดียวครับ

    By: บอมเบ เก๋จัง
    Since: 13 ก.ย. 55 09:19:23

  54. admin Post author

    มันก็แล้วแต่ บริบทของแต่ละคน แต่ละอาชีพ
    ถ้าคุณทำงานเป็นเจ้าของธุรกิจ
    การซื้อบ้านในขณะที่ยังไม่รวยก็คงเป็นภาระกับธุรกิจ
    กู้เงินมาลงทุนกับธุรกิจ ย่อมดีกว่า กู้มาทิ้งกับบ้าน
    พอธุรกิจอยู่ตัวมีกำไร การเก็บเงินซื้อบ้านย่อมง่ายกว่า

    ส่วนคนทำงานเอกชน เป็นลูกจ้างกินเงินเดือน หรือ รับจ้างทำงาน
    การซื้อบ้าน ที่ต้องเป็นหนี้ระยะยาว ผ่อนหนัก ผ่อนนาน ย่อมไม่เหมาะ
    เพราะพออายุมากขึ้น รายได้อาจจะไม่เท่าเดิม
    เงินเดือนบริษัทอาจจะเยอะ แต่ก็ไม่ชัวร์ตลอดไป
    จะซื้อบ้านก็ต้องคิดมากๆ ถ้าย้ายที่ทำงานบ่อยก็ไม่ควรซื้อ

    ส่วนคนทำราชการ
    เงินเดือนจะค่อยๆ ขึ้น แบบสม่ำเสมอ ไม่สูงมาก แต่จะชัวร์
    การรอเก็บเงินก่อนแล้วค่อยซื้อค่อนข้างยาก
    ถ้าเป็นตำแหน่งที่ต้องย้ายบ่อยๆ ก็ไม่ควรจะซื้อบ้าน
    ปกติแล้วที่เห็น หลายๆ คน เลือกที่จะเก็บเงินก้อน และหาซื้อที่ดินไว้รอสร้างบ้านตอนเกษียณ

    สำหรับข้าราชการปกติ ไม่รวมพวกชั้นผู้ใหญ่นะ
    ถ้าทำงานราชการอย่างเดียว ไม่มีธุรกิจส่วนตัวนะ ก็มีทางเลือกง่ายๆ

    1. เก็บเงินไว้ 30 ปี (จนครบ 60) ถ้าประหยัดๆ ก็น่าจะเก็บเงินได้ประมาณ 4 ล้าน ก็ไปรอซื้อบ้านราคา4 ล้าน ตอนเกษียณในอีก 30 ปีข้างหน้า

    2. กู้ซื้อบ้านราคา 2 ล้าน ในตอนนี้ ผ่อน 30 ปี พอเงินเดือนสูงขึ้น ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ค่อยๆ โป้ะ ให้หมดหนี้ก่อนเกษียณ

    3. เก็บเงิน 10 ปีแรก ให้ได้ซักก้อน  เอาเงินไปหาซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านไว้ก่อน  ตอนอายุ 40 จากนั้น เก็บเงินอีก 20 ปี ตอนเกษียณค่อยปลูกบ้าน
    ไม่ต้องไปกู้ ไม่ต้องเป็นหนี้

    แต่สำหรับผมไม่รู้สิครับ ชีวิตคนเรามันสั้น
    ถ้ารอไปสร้างบ้านตอนอายุ 60 ก็คงมีชีวีตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี
    ถึงตอนนั้นสำหรับผมบ้านคงไม่จำเป็นมากแล้ว

    เพราะหลังเกษียณผม คงจะพักผ่อน และ ไปท่องเที่ยวรอบโลกครับ
    คงไม่ค่อยได้อยู่บ้านแน่นอน

    อย่างน้อย หลังอายุ 60  ได้เดินทางไปเที่ยวรอบโลก
    ก่อนจะตาย ก็อยากจะไปให้ได้ซัก 160 ประเทศ

    By: webkit
    Since: 13 ก.ย. 55 11:01:07

  55. admin Post author

    แนวคิดเดิมๆของ ขรก.ในหน่วยงานผม
    – อยู่บ้านหลวง จนอายุสัก 45ปี ถึงจะหาทางมีบ้านของตนเองซื้อบ้าน
    – อยู่บ้านหลวงจนเกษียณ หน่วยงานผมให้อยู่ต่อหลังเกษียณได้อีก 2ปีถึงทำเรื่องคืนบ้าน

    แต่ผม ไม่คิดจะอยู่บ้านหลวง เพราะมันโทรมมากไม่คุ้มค่าซ่อมแซม เบิกค่าเช่าบ้านได้ยอมเสียค่าส่วนต่างของราคาค่าเช่าเอง
    วางแผนจะมีบ้านตั้งแต่อายุ 25-30 ปี(หลังทำงานเก็บเงินได้สักพัก) เลือกกู้สหกรณ์ หรือสวัสดิการของหน่วยงาน

    ดอกเบี้ยถูก คงที่ตลอดสัญญา ประมาน 3.5-4.5 ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี สามารถกู้ได้วงเงิน 85 เท่าของเงินเดือนรับ
    และหักค่าผ่อนแล้วต้องมีเงินเหลือไม่น้อยกว่า 35%  มีเวลาช่วงปลายของการทำงานอีก 10 ปี เก็บเงินไว้ดูแลตัวเองหลังว่างงาน

    By: pooly_a
    Since: 13 ก.ย. 55 13:00:38

  56. admin Post author

    "ถ้าคุณยังไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งในสักวันหนึ่ง อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี"

    อ่านมาตั้งแต่อยู่ในเว็บ think of living แล้ว

    ผมว่าหลายๆ ท่านแปลความหายผิดไปนิดหน่อย    ข้อความมาจากต่างประเทศก็จริง  แต่เค้าก็ใช้ระบบ เงินกู้เหมือนไทยเรานี่แหละ  
    เค้าไม่ได้บอกว่าให้ซื้อบ้าน ราคาแค่ รายได้ 2 ปีนะ ครับ  
    เขาให้ ดูที่"เงินกู้" ครับ ว่าไม่ควรเกินนี้  นัยว่า ถ้าต้องการบ้านแพงกว่า ควรจะมีเงินก้อน เงินดาวน์ ด้วยครับ ยิ่งเยอะ ยิ่งดี  
    เช่น เงินเดือน 40,000  รายได้ 960,000   ถ้าจะซ้อบ้าน สัก 2 ล้าน ก็ควรจะดาวน์ สักล้านนึง   เพื่อให้ เกิดภาระผ่อนต่อเดือนน้อยหน่อย  ผ่อนแต่ 8-9 พัน บาท  ซึ่ง ก็ต่ำกว่า 30% ของรายได้ต่อเดือนครับ

    และอีกประเด็นนึง เค้าไม่ได้ แค่ให้มีบ้านอยู่เท่านั้นนะครับ  เค้าเน้นที่ "ความมั่งคั่ง" ครับ   เมื่อผ่อนบ้านไม่ตึงมาก ก็จะมีเงินเหลือไปลงทุน หรือทำอย่างอื่นเพื่อเพิ่มรายได้ให้เราได้ครับ    

    นกน้อยทำรังแต่พอตัว  ไม่ได้หมายถึงให้ซื้อแต่บ้านเล็กๆ แต่ให้มองที่ความเหมาะสม กับความจำเป็นและรายได้ของเรามากกว่าครับ

    By: panyas
    Since: 13 ก.ย. 55 16:58:11

  57. admin Post author

    จริงๆ อ่านมาหลายเม้น มีประเด็นเรื่อง \” อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี\”ใน คห ที่ 4 
    แต่เหมือนว่าจะไมไ่ด้อ่านต่อใน คห ที่ 8 ที่อธิบายต่อว่า \”ถ้าปีหนึ่งเราหาเงินได้ 5 แสนบาท เราก็ไม่ควรจะกู้เงิน 1 ล้านบาท ที่เหลือควรใช้เงินสดจัดการให้หมด\” ไปนะคะ 
    นั่นแปลว่า บ้าน 2 ล้านก็ซื้อได้ แต่ต้องเก็บออมเงินดาวน์ได้ 1 ล้านก่อน ค่อยซื้อ น่ะ้ค่ะ
    เราคิดว่า จขกท น่าจะมาเตือนเพื่อนๆ ให้คิดดีๆ ก่อนจะกู้  ไม่อยากให้มีภาระผ่อนมากเกินไป เสียดายดอกเบี้ยที่อาจจะท่วมต้นได้ เดี๋ยวเครียดเกิ๊น  แบบ ถ้าเป็นไปได้ก็ซื้อบ้านเท่าที่มีกำลังผ่อน ไม่เหนือยมาก เท่าที่จำเป็น แต่ถ้าอยากได้ หรือจำเป็นต้องซื้อบ้านที่แพงขึ้น ก็ควรเก็บเงินดาวน์ให้มากขึ้น ไม่ใช่ หาทางกู้ให้ได้มากขึ้นมั้งคะ

    By: psyki
    Since: 13 ก.ย. 55 19:47:45

  58. admin Post author

    จะแปลยังไงก็แล้วแต่ สำหรับคนไทยส่วนมากที่ทำงานประจำ ก็ต้องกู้เกือบเต็ม 100% เพราะไม่มีเงินเก็บเยอะขนาด 40-50% ของราคาบ้าน เถียงกันไปมาก็ไม่จบหรอก

    By: Dior Homme
    Since: 13 ก.ย. 55 20:04:40

  59. admin Post author

    ในนี้ไม่มีใครฟังใครเลยเนอะ

    By: น้ำเต้าหู้นมสด
    Since: 13 ก.ย. 55 22:50:50

  60. admin Post author

    ไม่มีบ้านลำบากแน่ครับ ที่ดินไม่มีงอกเพิ่ม   แต่บทความน่าสนใจมากคับ

    By: คิวปิดน้อย
    Since: 14 ก.ย. 55 13:28:38

  61. admin Post author

    ลองนึกว่าบ้านเป็นแบบนี้แบบดีมั้ยครับ ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ –  เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วใช้เสนาสนะ
    ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ –  เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
    อุณหัสสะ ปะฏิฆาตายะ   –  เพื่อบำบัดความร้อน
    ฑังสะมะกะสะวาตา ตะปะสิริง สะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ
    –   เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
    ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง
    –  เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดิน ฟ้า อากาศ และเพื่อความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา   สรุปสั้นๆคือ ไม่ใช่เพื่อหาภาระใส่ตัวเองเพิ่ม

    By: คนบ่น
    Since: 14 ก.ย. 55 13:49:45

  62. admin Post author

    ภาวนา คือ การทำให้เจริญ ไม่ใช่นั่งสมาธิอย่างเดียวนะครับ

    By: คนบ่น
    Since: 14 ก.ย. 55 13:50:34

  63. admin Post author

    เราเห็นด้วยกับความคิด จขกท. นะ ถ้าคนไหนมีรายได้มากพอผ่อนเงินที่กู้ซื้อได้ภายใน 5 ปี อันนี้น่ากู้ แต่ถ้าต้องผ่อน 10+ แบบนี้ ราคาบ้านที่แท้จริงมันมากเกินจริงไปเยอะ ไหนจะค่าบำรุงรักษา ค่าดูแล ค่าส่วนกลางอีก สำหรับเราถ้ามีเงินไม่ถึงครึ่งของอสังหาที่จะซื้อ เราจะไม่ซื้อเด็ดขาด เก็บเงินไว้ดีกว่า ยกเว้นการซื้ออสังหาเพื่อทำธุรกิจนะ อันนั้นเงินต่อเงิน

    แต่นิสัยคนไทย(ที่เราเห็นส่วนมาก) เป็นแบบที่หลายคนพูด คือซื้อบ้านเกินกำลัง กู้เยอะ เหลือเงินไว้ตกแต่งหรูเกินฐานะ ซื้อรถก็เกินกำลัง สุดท้ายไม่พ้นขาย หรือถูกยึด น่าเสียดายเงินที่เสียไป น่าจะคิด วางแผนสักนิดก่อนซื้อ

    By: kakanoky
    Since: 14 ก.ย. 55 14:30:36

  64. admin Post author

    สังคมไทย ส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะกู้กันเต็มเพดานกันนั่นแหละค่ะ เพราะถือว่า โอเคร ชั้นผ่อนรถเสร็จแล้ว และนี่คือ หนี้ก้อนสุดท้ายของชั้น ชั้นสามารถ ผ่อนบ้านหลังนี้ ด้วยระยะเวลา 30 ปีได้ชัวร์ๆ ดังนั้น ก็กู้เต็มเลย มันแลกกับคุณภาพชีวิตของชั้น

    30 ปีที่คุณผ่อนนั้น ถ้าคุณไม่เกิดปัญหาอะไร หรือความอยากได้อะไรเพิ่มอีก มันก็คงไม่ยากเท่าไหร่ แต่ทีนี้ เกิดอยากได้ ไอโฟน 18 ขึ้นมาล่ะ ความจำเป็นเกิดอีกแล้วทีนี้ เพราะว่า คนที่ทำงาน ใครๆก็ใช้ ก็ถอยออกมา สร้างหนี้ซ้ำซ้อน เกิดลูกไม่สบาย ค่า รพ เกิดรถที่ใช้อยู่ ต้องเปลี่ยนอะไหล่ หรือไม่ก็อยากไ้ด้รุ่นนั้นรุ่นนี้ขึ้นมาอีก ก็บอกแล้วไง ความต้องการน่ะมันไม่มีสิ้นสุด เงินที่คุณภูมิใจว่ามันเพิ่มขึ้นทุกปี มันก็จะอันตรธานไปกับ ความอยากที่เกิดขึ้นทุกปีอีกด้วย

    ดังนั้น ที่ จขกท บอกว่า อย่าพยายามสร้างหนี้ จนเกินตัว นั้น ก็หมายถึง เลือกที่จะเป็นหนี้น้อยๆ ก่อน บ้านหลังเล็กๆ หรือคอนโดห้องเล็กๆ พอขยับขยายได้ มีเงินเหลือจากเงินเดือน ก็เก็บมาโปะ ทีนี้ ซักพัก พอเล็งๆ ได้บ้านหลังใหม่ ใหญ่ขึ้น ให้พอกับจำนวนของลูกๆ ก็เป็นหนี้ต่อไ้ด้ แต่ก็ต้องประมาณตนเหมือนกัน อย่าใหญ่จนเกินความจำเป็น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    มันคือ ความไม่ประมาท ในการเงินของตัวเอง

    หรือไม่ บางคนเถียง เอ้า ก็คอนโดเล็กๆสมัยนี้อ่ะ ราคามันแพงมากอยู่แล้ว เราก็ต้องมองเงินเก็บของเราด้วย กู้แค่พอผ่อนได้ ที่เหลือ ก็ใช้เงินเก็บ หรือการขายทรัพท์สินที่สามารถขายได้มาแลก คนที่ซื้อของแบบผ่อนนาน ก้อนใหญ่ แล้วเงินดาวน์ต่ำเนี่ย ต้องลำบากสุดๆเลย จขกท เขาก็ แค่ เตือน ว่าอย่าหลงดีใจไปกับคำพูดที่สวยหรูของธนาคาร ให้มองตัวเอง ตัดความอยาก ความหน้าใหญ่ลง แล้วถ้ามีเงินเหลือก็ค่อยขยับขยายอีกที

    By: สมองคิดอะไรๆได้เสมอ
    Since: 14 ก.ย. 55 17:47:41

  65. admin Post author

    บ้านผมอยู่กับสามคนพ่อแม่ลูก แค่ทาวเฮาส์หลังเดียวก็เกี่ยงกันถูบ้านจะแย่แล้วครับ

    By: กุ้งบก
    Since: 14 ก.ย. 55 23:09:52

  66. admin Post author

    50 เท่าของรายได้ เป็นคำตอบสุดท้าย ที่เหมาะสมกับ คนไทยที่สุด
    ใครซื้อน้อยกว่านั้นก็เป็นประโยชน์ไป ใครซื้อราคาสูงกว่านี้ก็เสี่ยงเอา
    ชีวิตแต่ละคนเลืกเองครับ

    แต่ 50เท่า ผมว่าเหมาะที่สุดแล้ว ไม่ต้องตั้งกระทู้ถามให้มากเรื่องหรอก
    เอา 50 คูณรายได้ไปเลย แล้วถ้าคุณอยากเสี่ยงมากก็ไปซื้อแพงกว่านั้น
    มันก็เท่านั้นเองครับ

    ปล.ความเห็นผมตัวเลข 2ปี หรือ 24เท่า ของรายได้ มันไม่เหมาะสม
    และ conservative เกินไป

    By: Tamจัง
    Since: 15 ก.ย. 55 14:06:35

  67. admin Post author

    แน่ใจได้ยังไงว่าอนาคตไม่ตกงาน
    นั่นเป็นคำถามที่ต้องกังวลมากกว่า
    24 เท่า safe กว่า 50 เท่าแน่ๆ
    วันดีคืนดี อายุ 30+ 40+ แต่โดนบีบ มีเรื่อง
    ตกงาน หางานใหม่ลำบาก
    จบเห่

    By: น้องส้มเด็กดี
    Since: 15 ก.ย. 55 17:10:59

  68. admin Post author

    ต่อให้ 24 เท่า เกิดผ่อนไปหกเดือนตกงาน ต่างกันตรงไหน

    By: Dior Homme
    Since: 15 ก.ย. 55 20:16:00

  69. admin Post author

    บทความนี้ต้องอ่านให้ลึกหน่อยนะครับ
    ขอก๊อปมาแปะอีกที

    “If you’re not wealthy but want to be someday, never purchase a home that requires a mortgage that is more than twice your household’s total annual realized income.”

    เน้นที่ประโยคแรกก่อนนะครับ เริ่มต้นด้วย
    If you’re not wealthy but want to be someday
    นั่นคือ "สำหรับคนที่ปัจจุบันไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งซักวันหนึ่ง"

    ดังนั้นสำหรับพนักงานกินเงินเดือนทั่วๆไปที่ฝันแค่อยากมีบ้าน
    แต่ไม่ได้อยากมั่งคั่งทางการเงิน คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำตามบทความนี้

    และบทความนี้ก็ไม่ได้ apply สำหรับคนที่มั่งคั่งอยู่แล้วซะด้วย
    เพราะคนที่มั่งคั่งอยู่แล้ว มักจะรู้วิธีที่จะนำเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยกู้บ้าน
    ดังนั้นจึงมีอีกบทความนึงบอกคนที่มั่งคั่งว่า ให้กู้มากที่สุด และอย่าโปะบ้าน
    เพราะนี่เป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซ้ำหักภาษีได้อีก
    สู้เอาเงินตรงนี้ไปลงทุนซะดีกว่า

    ผมว่าเค้าก็เขียนถูกต้องดีนะครับ แค่เราต้องรู้จักตัวเอง
    และเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุด อย่าเอาเกณฑ์นายแบงค์มาเป็นเกณฑ์ของตัวเอง

    By: s7014249
    Since: 15 ก.ย. 55 23:00:13

  70. admin Post author

    มัวแต่กลัว  ถ้าซื้อตั้งแต่สิบปีที่แล้ว  ป่านนี้คงได้บ้านหลังใหญ่กว่านี้  และหนี้ก็คงหมดแล้ว  เฮ้อ  คิดแล้ว  เสียดายย้อนหลัง

    By: paningZa
    Since: 16 ก.ย. 55 12:44:56

  71. admin Post author

    ชอบกระทู้นี้จัง

    (เป็นคนไม่มีสินทรัพย์ มีแต่ที่พักอาศัย….เช่นกัน)

    By: แก้วหนึ่งใบกับเบียร์สองขวด
    Since: 16 ก.ย. 55 14:54:15

  72. admin Post author

    #62 สรุปให้แล้วจ้ะ ใครยังไม่เข้าใจแนะนำให้อ่านซ้ำอีกอย่างน้อยสองรอบ จขกท.เค้ามองในระยะยาวมากกว่าแค่การมีบ้านอยู่อาศัยแต่เป็นการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งในชีวิตของคนๆนึง มีบ้านเหมือนมีหนี้ ยิ่งเราปลดหนี้ช้าเท่าไร โอกาสในการลงทุนของเราก็น้อยลงไปเท่านั้น โดยทั่วไปเราไม่ได้ซื้อบ้านเพื่อการลงทุน หลายคนอาจเถียงว่าบ้านยิ่งนานไปยิ่งราคาดี ในอนาคตสามารถทำกำไรจากการขายบ้านได้ แต่อันที่จริงแล้วหากเราขายบ้านไปเราก็ยังคงต้องซื้อบ้านหลังใหม่และก็ยังคงมีหนี้วนเวียนไม่จบสิ้น บ้านเป็นสินทรัพย์ที่ขายยาก ใช้เวลานาน เงินสดต่างหากที่ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความมั่งคั่งในชีวิต

    By: ยัยนู๋งก
    Since: 16 ก.ย. 55 19:25:17

Leave a Reply